net-zero

จีนเร่ง Green Hydrogen ขึ้นแท่นมหาอำนาจพลังงานสะอาดโลก

In Brief

  • จีนกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมไฮโดรเจนสีเขียวอย่างจริงจัง สวนทางกับหลายประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อขึ้นเป็นผู้นำและครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานสะอาดโลก เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จในอุตสาหกรรมโซลาร์และแบตเตอรี่
  • การสนับสนุนจากภาครัฐส่งผลให้กำลังการผลิตของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตอิเล็กโทรไลเซอร์ของโลกขยายตัวถึง 8 เท่าใน 3 ปี ซึ่งนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและทำให้อุปกรณ์มีราคาถูกลงอย่างมาก
  • จีนไม่ได้มุ่งส่งออกเพียงเทคโนโลยีและอุปกรณ์ แต่ยังตั้งเป้าส่งออกพลังงานในรูปแบบโมเลกุลสีเขียว เช่น กรีนแอมโมเนีย ไปยังตลาดยุโรป เพื่อเป็นทางออกในการดูดซับพลังงานหมุนเวียนส่วนเกินในประเทศ

ในช่วงที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มชะลอการเดินหน้าโครงการไฮโดรเจนสีเขียวจากต้นทุนที่สูงและความไม่แน่นอนด้านอุปสงค์ จีนกลับเดินสวนกระแส เร่งพัฒนาและขยายกำลังการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวอย่างจริงจัง จนกลายเป็นประเทศผู้นำของโลกในด้านการผลิตไฮโดรเจนด้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส หรือที่เรียกว่า “กรีนไฮโดรเจน”

ไฮโดรเจนถูกยกให้เป็น “โมเลกุลสีเขียว” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยได้ยาก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไฮโดรเจนสีเขียวในระดับโลกยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่จีนกลับใช้โอกาสนี้ผลักดันอุตสาหกรรมดังกล่าวให้กลายเป็นแกนกลางของยุทธศาสตร์พลังงานสะอาด และเป็นส่วนหนึ่งของแผนครองห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลก เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในอุตสาหกรรมโซลาร์และแบตเตอรี่

การสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนสามารถเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมกรีนไฮโดรเจนได้อย่างรวดเร็ว นโยบายด้านไฮโดรเจนถูกบรรจุไว้ทั้งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 และฉบับที่ 15 ควบคู่กับการปรับกฎระเบียบและการจัดการด้านอุปทาน ส่งผลให้โครงการเริ่มเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2025

ข้อมูลระบุว่า ในปี 2025 จีนจะติดตั้งกำลังการผลิตอิเล็กโทรไลเซอร์ประมาณ 1.5 กิกะวัตต์ ซึ่งเกือบเทียบเท่ากับกำลังการผลิตอิเล็กโทรไลเซอร์ทั้งหมดของโลกที่มีอยู่ ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1.7 กิกะวัตต์ ปัจจุบัน จีนมีโครงการกรีนไฮโดรเจนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเกือบ 10 กิกะวัตต์ และมีการคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 กิกะวัตต์ในปี 2026 และ 6.9 กิกะวัตต์ในปี 2027 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตอิเล็กโทรลิซิสของโลกขยายตัวถึงแปดเท่าภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี

การเร่งลงทุนดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการจีนจำนวนมากเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้อย่างรวดเร็ว โดยมีการประกาศกำลังการผลิตอุปกรณ์รวมกันมากกว่า 50 กิกะวัตต์ต่อปี ส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดและการแข่งขันด้านราคารุนแรง ราคาชุดอิเล็กโทรไลเซอร์ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว จากระดับประมาณ 250 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ในช่วงต้นปี 2024 ลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ในปัจจุบัน ขณะที่ต้นทุนของระบบโดยรวมก็ปรับลดลงในทิศทางเดียวกัน

ผู้ผลิตจากจีนยังเร่งขยายการส่งออกอุปกรณ์ไปยังต่างประเทศ โดยในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา โครงการพลังงานในเอเชียกลาง แอฟริกา อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง เลือกใช้อุปกรณ์จากจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนบทบาทของจีนในฐานะผู้จัดหาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดให้กับตลาดโลก

นอกจากนี้ บริษัทจีนยังมีเป้าหมายส่งออกพลังงาน ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยี โดยมีอย่างน้อย 2 โครงการผลิตกรีนแอมโมเนียที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเชื้อเพลิงหมุนเวียนที่ไม่ใช่ชีวภาพของสหภาพยุโรป (RFNBO) ซึ่งเปิดทางให้จีนสามารถส่งออกโมเลกุลพลังงานสะอาดสู่ตลาดยุโรปได้โดยตรง

ข้อมูลราคาชี้ว่า ผู้ผลิตจีนสามารถเสนอขายแอมโมเนียสีเขียวในระดับประมาณ 600 ดอลลาร์ต่อตัน แบบส่งมอบหน้าโรงงาน ซึ่งแม้จะสูงกว่าแอมโมเนียจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ยังสามารถแข่งขันได้ในตลาดยุโรปที่เผชิญภาวะตึงตัวด้านอุปทาน โดยคาดว่าราคาจะปรับลดลงอีกเมื่ออุปสรรคด้านเทคโนโลยีเริ่มคลี่คลาย

ภาวะอุปทานพลังงานหมุนเวียนที่ล้นตลาดในจีน โดยเฉพาะไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน กำลังสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรและอัตราการใช้กำลังการผลิตในภาคไฟฟ้า กรีนไฮโดรเจนจึงถูกมองว่าเป็นทางออกเชิงกลยุทธ์ในการดูดซับไฟฟ้าส่วนเกิน ด้วยการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นโมเลกุล และช่วยให้จีนสามารถ “เคลื่อนย้ายพลังงาน” จากพื้นที่ผลิตในภาคเหนือไปยังตลาดอื่นได้

เพื่อรองรับทิศทางดังกล่าว จีนกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไฮโดรเจนอย่างต่อเนื่อง ทั้งระบบท่อส่งไฮโดรเจน และท่าเรือสำหรับการส่งออกแอมโมเนียและเมทานอล สะท้อนความตั้งใจในการยกระดับกรีนไฮโดรเจนให้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์พลังงานและการค้าระหว่างประเทศในระยะยาว

แม้การปฏิวัติไฮโดรเจนในระดับโลกจะยังไม่เกิดขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง แต่ทิศทางการพัฒนาในจีนกำลังบ่งชี้ชัดว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานในรูปแบบโมเลกุลสีเขียว กำลังเริ่มต้นขึ้นในประเทศผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก

อ้างอิงข้อมูล 

  • S&P Global