net-zero

‘บีทีเอส กรุ๊ป’ เปิดโมเดลติดตั้งโซลาร์รูฟ บนรถไฟฟ้า 3 สาย

In Brief

  • บีทีเอส กรุ๊ป มีแผนติดตั้งโซลาร์รูฟบนสถานีรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีเหลือง
  • โครงการจะครอบคลุม 45 สถานี และศูนย์ซ่อมบำรุงอีก 4 แห่ง
  • คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมประมาณ 34 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าป้อนระบบได้ประมาณ 20% ของความต้องการทั้งหมด
  • แผนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การใช้พลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนระบบขนส่งมวลชนสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero)

นายดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุนและหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 หรือ SX ช่วง Collab Talk: Infrastuckture for Green City ว่า  ยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนระบบขนส่งมวลชนของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 นั้น

ทั้งนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขนส่งที่หลากหลาย ซึ่งมีระบบรถไฟฟ้าเป็นแกนหลัก (Multimodal Rail-Centric) เนื่องจากเป็นรูปแบบการขนส่งที่สร้างมลพิษต่ำที่สุด มีความปลอดภัยที่สุด และมีประสิทธิภาพต้นทุนสูงสุดเมื่อขยายขนาด

ขณะเดียวกันการพัฒนาที่ยั่งยืนนี้ต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยสำคัญคือ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก)

การเข้าถึงทางสังคม (ราคาที่เหมาะสม), และ ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ (ความคุ้มค่าของการลงทุน) เนื่องจากปัจจุบัน ภาคการขนส่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึงประมาณ 30% ของประเทศ 

‘บีทีเอส กรุ๊ป’ เปิดโมเดลติดตั้งโซลาร์รูฟ บนรถไฟฟ้า 3 สาย นายดาเนียล กล่าวต่อว่า การเร่งขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Electric Rail Mass Transit) จึงเป็นกลยุทธ์หลักในการลดสัดส่วนมลพิษ เพราะการเดินทางบนถนน 80% สร้างมลพิษถึง 95% ขณะที่ระบบรางรองรับการเดินทาง 15% แต่สร้างมลพิษเพียง 3%
 

ด้านการดำเนินงาน BTS Group ยืนยันความมุ่งมั่น โดยระบบรถไฟฟ้าได้ขนส่งผู้โดยสารรวมกว่า 4.6 พันล้านคน ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Avoided Emissions) ได้จำนวนมหาศาล 

นอกจากนี้ยังมีการระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bonds) รวมมูลค่ากว่า 63,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งลงทุนกว่า 400-500 ล้านบาทต่อปี เพื่อยกระดับประสิทธิภาพรถไฟฟ้าขบวนเก่าอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนพลังงานสะอาด ปัจจุบันไฟฟ้าที่ใช้ในรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างน้อย 10% มาจากพลังงานสะอาดผ่าน REC และมีแผนเร่งติดตั้ง Solar Rooftop บน 45 สถานี

และศูนย์ซ่อมบำรุง รวมกำลังการผลิตประมาณ 34 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจ่ายให้กับโครงข่ายได้ประมาณ 20% ของปริมาณความต้องการไฟฟ้าทั้งหมดในอนาคต 

นอกจากนี้บริษัทยังสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดค่าโดยสารที่เหมาะสมเพื่อเพิ่ม Social Accessibility และจูงใจให้คนเปลี่ยนมาใช้ระบบรางมากขึ้น
 

อย่างไรก็ดีโครงสร้างพื้นฐานต้องถูกออกแบบให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศ (Climate Resilience) เช่น น้ำท่วม และต้องมีการเชื่อมโยงทุกระบบเข้าด้วยกันอย่างราบรื่น เพื่อให้การเปลี่ยนถ่ายการขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้รัฐบาลกับผู้ประกอบการต้องร่วมกัน โฆษณาและโปรโมทอย่างชัดเจนถึงประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้รถไฟฟ้า เพื่อสร้างแรงจูงใจในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ

สำหรับแผนเร่งด่วนของบริษัทมีแผนดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟบนสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีชมพู และสายสีเหลือง รวม 45 สถานี รวมถึงศูนย์ซ่อมบำรุงอีก 4 แห่ง

คาดว่าจะติดตั้งได้กำลังการผลิตรวมประมาณ 34 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อจ่ายให้กับโครงข่ายรถไฟฟ้าได้ประมาณ 20% ของปริมาณความต้องการไฟฟ้าทั้งหมด

นายดาเนียล กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยืนยันที่จะสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการลดค่าโดยสารให้มีความเหมาะสม เช่น โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือนโยบายราคาอื่น ๆ อย่างเต็มที่

เนื่องจากสอดคล้องกับปัจจัย Social Accessibility ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ส่วนตัวมาใช้ระบบราง ซึ่งดีต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในภาพรวม

“สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือการขยายระบบรถไฟฟ้าแกนหลักของการขนส่งคือการขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าให้เป็นแกนหลัก (Backbone) ของระบบขนส่งหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ถือเป็นก้าวสำคัญที่สุด เนื่องจากระบบรางเป็นรูปแบบการขนส่งที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายดาเนียล กล่าว