net-zero

มองทิศทาง Greenovation ผ่านมิติทางการเงิน กลุ่มธนาคารพาณิชย์

    "สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น” อีกหนึ่งปัญหาจากภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสีเขียวยังไม่มีกฎหมายใดบังคับให้ต้องทำ รวมถึงยังไม่ได้รับผลกระทบและแรงกดดันจาก supply chain

ดังนั้นจึงอาจมองว่าธุรกิจของตนยังไม่มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ภาคธุรกิจกำลังจะเผชิญกับแรงกดดันในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมจากทุกทิศทาง

ซึ่งจะเห็นได้จากความคืบหน้าในการออกกฎหมายหลัก เช่น พ.ร.บ. Climate Change ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในไม่ช้านี้ รวมถึงแรงกดดันจากคู่ค้าในต่างประเทศที่เริ่มปรากฏแล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น กฎเหล็กของสหภาพยุโรปในการควบคุมสินค้านำเข้าที่มีคาร์บอนสูง (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) และ Green Hotel Certificate ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนกลายมาเป็น “ทางรอด ไม่ใช่แค่ทางเลือก” อีกต่อไป

ก้าวย่างที่ยั่งยืน ผ่านมิติทางการเงิน

ภาคการเงินทั้งในระดับสากลและระดับประเทศล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว โดยในปี 2567 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่การประชุมด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก COP29 ได้บรรลุข้อตกลงสำหรับกรอบการเงินใหม่ที่จะระดมทุนเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าเป็น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม จนได้รับขนานนามให้เป็น Finance COP นอกจากนี้

มองทิศทาง Greenovation ผ่านมิติทางการเงิน กลุ่มธนาคารพาณิชย์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเงินด้านความยั่งยืนได้กลายมาเป็นกระแสสำคัญในระบบการเงินโลกและขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระบบการเงินไทย ซึ่งแม้ว่าสัดส่วนของสินเชื่อและตราสารเพื่อความยั่งยืนในภาคการเงินไทยปัจจุบันอาจยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทอื่น ๆ ทว่าจากการศึกษาของ Climate Bonds Initiative พบว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา การออกตราสาร ESG ในไทยได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า โดยมีมูลค่ารวมเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียนรองจากสิงคโปร์ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง

อีกหนึ่งในแรงผลักดันตลาดภาคการเงินสีเขียวที่สำคัญมาจากความพยายามของหน่วยงานภาครัฐที่มีการกำหนดนโยบายและสร้างกลไกสนับสนุนต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น เช่น ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเผยแพร่ Thailand Taxonomy เพื่อเป็นมาตรฐานกลางให้ทุกภาคส่วนนำไปใช้อ้างอิงในการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามระดับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนภาคธุรกิจให้สามารถวางแผนปรับกลยุทธ์และการดำเนินงานภายใน และภาคธนาคารให้สามารถนำไปใช้ประกอบการเสนอบริการทางการเงินเพื่อส่งเสริมธุรกิจสู่เส้นทางที่เป็นสีเขียวมากขึ้น

นอกจากนี้ ผู้กำกับดูแลตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ก็ได้เพิ่มช่องทางการลงทุนสีเขียวผ่านกองทุนรวมลดหย่อนภาษี Thailand ESG Fund ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ด้านความยั่งยืนอย่างหลากหลาย เช่น green bond, social bond, sustainability bond, sustainability-linked bond หรือ green token รวมถึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนใน green token เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่เพียงพอในการตัดสินใจและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เป็นต้น

หากเปรียบความพร้อมด้านเงินทุนเป็นเชื้อเพลิง ความรู้ความเข้าใจและเทคโนโลยีในการปรับตัวก็คงเปรียบเสมือนเครื่องยนต์ ทว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะ SMEs อาจยังขาดเครื่องยนต์ที่เหมาะสมในการเริ่มต้นบนถนนแห่งความยั่งยืน ธนาคารซึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนคู่คิดของภาคธุรกิจจึงอาจเข้ามาช่วยสนับสนุนในมิติดังกล่าวได้

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้อนุญาตให้บริษัทในกลุ่มธนาคารพาณิชย์สามารถทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม (Green-related Business) ได้แก่ การเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม การแนะนำสินค้าหรือบริการด้านสิ่งแวดล้อม การคำนวณและส่งข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวมถึงการรวบรวมโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเพื่อขึ้นทะเบียน โดยบริษัทในกลุ่มของธนาคารต้องบริหารจัดการความเสี่ยงไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และมีแนวทางในการดูแลลูกค้าอย่างเหมาะสม

โอกาส อุปสรรค ของธนาคารไทย บนถนนสายสีเขียว

มองไปในอนาคต ภาคธนาคารยังมีศักยภาพในการต่อยอดบริการที่จะช่วยภาคธุรกิจสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจสีเขียว (green transition) ได้อีกมาก เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอนเครดิต หรือ Renewable Energy Certificate (REC) ที่ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายทั้งในตลาด Over-The-Counter (OTC) หรือก่อนหน้านี้ในแพลตฟอร์ม FTIX ซึ่งเป็นศูนย์ซื้อขายใบรับรองฯ แห่งแรกในไทยอาจยังไม่มากนัก

ปัจจุบันในต่างประเทศ จะเห็นบทบาทที่หลากหลายของภาคการเงินบนถนนสายสีเขียว ทั้งการเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินและผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการช่วยยกระดับตลาดคาร์บอนผ่านการต่อยอดเทคโนโลยี เช่น blockchain และ digital token เพื่อให้เข้าถึงตลาดสีเขียวได้ง่ายขึ้น สำหรับประเทศไทยก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นภาพเดียวกันนี้เมื่อมีการผลักดันที่เข้มข้นขึ้น

อย่างไรก็ดี อาจต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้รองรับและต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เพราะปัจจุบัน digital token ที่เป็น utility token ยังไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อหักกลบการปล่อยคาร์บอนของธุรกิจได้ รวมถึงภาคธุรกิจมีภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจาก double VAT จากทั้งใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อมและ utility token

 แม้ว่าภาคการเงินการธนาคารจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม แต่แรงขับเคลื่อนจากภาคธนาคารอย่างเดียวคงมิอาจพาไทยให้บรรลุเป้าหมายได้ ดังเช่นในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ารากฐานสำคัญที่สุดในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในอนาคตคือความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน

บทความโดย : พิมพ์สิริ ตั้งยืนยง ผู้วิเคราะห์อาวุโส

ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารเเห่งประเทศไทย (ธปท.)

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธปท.