องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. รายงานถึงสถิตกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-มีนาคม2568) อยู่ในภาวะซบเซาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยมีปริมาณการซื้อขายรวมอยู่ที่ 158,903 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 22.92 ล้านบาท มีราคาซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 144.28 บาทต่อตัน
โดยประเภทที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดอยู่ที่การผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล 120,251 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 4.85 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 40.40 บาทต่อตัน รองลงมาเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ปริมาณ 18,034 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 1.10 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยที่ 61.43 บาทต่อตัน ป่าไม้ ปริมาณซื้อขาย 12,495 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 8.96 ล้านบาทต่อตัน มีราคาเฉลี่ยที่ 717.55 บาทต่อตัน
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า และการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าในระดับโครงการ (P-REDD+) ปริมาณการซื้อขาย 4,852 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 7.32 ล้านบาท มีราคเฉลี่ยที่ 1.510.26 บาทต่อตัน การทำปุ๋ยหมัก มีปริมาณซื้อขาย 2,885 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 6.04 แสนบาท มีราคาเฉลี่ย 209.62 บาทต่อตัน การจัดการนํ้าเสียอุตสาหกรรม ปริมาณการซื้อขาย 180 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่า 10,850 บาท มีราคาเฉลี่ย 60.25 บาทต่อตัน เป็นต้น
ส่วนช่วงเดียวกันของงบประมาณปีก่อน (ตุลาคม 2566-มีนาคม 2567) มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 439,879 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 72.89 ล้านบาท ซึ่งปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่มาจากประเภทการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ปริมาณซื้อขาย 150,940 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มูลค่ากว่า 11.46 ล้านบาท มีราคาซื้อขายตั้งแต่ 46-85 บาทต่อตัน
รองลงมาเป็นป่าไม้ มีปริมาณซื้อขายที่ 100,401 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มูลค่า 51.20 ล้านบาท มีราคาซื้อขายตั้งแต่ 500-3,000 บาทต่อตัน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ มีปริมาณซื้อขาย 112,810 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่ากว่า 5.63 ล้านบาท มีราคาซื้อขายตั้งแต่ 45-82 บาทต่อตัน และการจัดการนํ้าเสียอุตสาหกรรม ปริมาณการซื้อขาย 70,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่า 3.70 ล้านบาท มีราคาซื้อขายตั้งแต่ 50-52 บาทต่อตัน เป็นต้น
ในขณะที่ปีงบประมาณ 2567 ทั้งปี มีปริมาณการซื้อขายอยู่ที่ 686,079 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มีมูลค่ากว่า 85.79 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 125.05 บาทต่อตัน
จะเห็นได้ว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทย ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 ที่เคยมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดที่ 1,187,327 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขายราว 128.48 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยนที่ 108.22 บาทต่อตัน และในปีงบประมาณ 2566 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ราว 857,102 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขายที่ 68.32 ล้านบาท และราคาเฉลี่ยซื้อขายปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 79.71 บาทต่อตัน
ทั้งนี้ นับจากปี 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันมีปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตสะสมราว 3,589,957 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายสะสม 323,940,255 บาท ขณะที่การซื้อขายผ่าน Exchange Platform FTIX มีปริมาณสะสม 13,665 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นมูลค่ามูลค่าการซื้อขาย 727,204 บาท โดยในครึ่งปีงบประมาณ 2568 ไม่มีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มนี้แต่อย่างใด
สำหรับโครงการที่ขอขึ้นทะเบียนรับรองคาร์บอนเครดิตจาก อบก.แล้วจำนวน 492 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 13,852,011 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี โดยครึ่งปีปีงบประมาณ 2568 มีโครงการที่ขึ้นทะเบียนรับรองคาร์บอนเครดิตจาก อบก. 31 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ 390,351 ตันตาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ส่วนที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้วมีจำนวน 191 โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรองทั้งหมด 22,070,953 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ถูกชดเชย 2,016,858 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยยังมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่อยู่ในตลาดราว 20,054,095 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
แหล่งข่าวจากผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สะท้อนให้เห็นว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง น่าจะมาจากผู้ประกอบการบางรายเริ่มที่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการนำคาร์บอนเครดิตไปชดเชยการปล่อยคาร์บอนในการดำเนินธุรกิจ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวจากกองทุนเพื่อรับมือกับการสูญเสีย และความเสียหาย ที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้เงินประเทศกำลังพัฒนาต่อสู้กับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประกอบกับผู้ที่มีคาร์บอนเครดิตอยู่ในมือ ยังไม่ยอมปล่อยขายคาร์บอนออกสู่ตลาด เนื่อจากยังมีราคาตํ่า หรือต้องการเก็บไว้ชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตัวเอง หรือต้องการรอเวลาให้ราคาคาร์บอนมีราคาสูงมากกว่านี้ รวมถึงผู้ประกอบการต้องการคาร์บอนจากประเภทป่าไม้เป็นส่วนใหญ่แต่ในตลาดมีปริมาณจำกัด อีกทั้งมีราคาสูง จึงทำให้เกิดการชะลอซื้อออกไปก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง