ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ทีมงานวิจัยเนคเทค ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Acamp (Automated Carbon Accounting Management Platform) สำหรับคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) แบบอัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ โดยเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม การจัดทำค่า CFO นั้นเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนสูง ผู้จัดทำต้องเก็บข้อมูลกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนทั้งหมด มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจำแนกรูปแบบการปล่อยคาร์บอนตาม Greenhouse Gas Protocol (GHG Protocol) อย่างลึกซึ้ง ต้องเข้าใจวิธีคำนวณปริมาณการปล่อยคาร์บอน และต้องอัปเดตค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
ดร.อัมพร กล่าวต่อไปว่า นักวิจัยทีม ทีมวิจัยได้ศึกษาปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ ทั้งความยากในการจัดเก็บข้อมูล การจำแนกประเภท และการคำนวณคาร์บอน ก่อนนำมาออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยี Acamp ที่ช่วยให้การดำเนินงานสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การทำงานของระบบ Acamp แบ่งการนำเข้าข้อมูลออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า: ทีมวิจัยได้พัฒนา ZCARBON (ซีคาร์บอน) ซึ่งเป็นเอดจ์คอมพิวเตอร์ (edge computer) พร้อมซอฟต์แวร์สำหรับจัดเก็บข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของแต่ละอุปกรณ์จากเครื่องวัดกำลังไฟฟ้า (power meter) แบบเรียลไทม์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ที่เกิดจากการใช้พลังงานไฟฟ้าทันที จากนั้นระบบจะส่งเฉพาะข้อมูลค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขึ้นคลาวด์ เพื่อให้แพลตฟอร์ม Acamp นำไปใช้คำนวณค่า CFO ขององค์กรต่อโดยอัตโนมัติ
ข้อมูลจากระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) : ประกอบด้วยข้อมูลชนิดและปริมาณของในคลัง เช่น วัตถุดิบ เชื้อเพลิง และข้อมูลการนำทรัพยากรไปใช้ในการผลิตสินค้าและบริการ โดยทีมวิจัยได้ออกแบบกระบวนการส่งข้อมูล ERP ที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO เข้าสู่คลาวด์อัตโนมัติไว้ 2 รูปแบบ คือ การส่งผ่าน API (Application Programming Interface) และการตั้งค่าสร้างรายงาน (print out) ไปไว้ที่คลาวด์แบบอัตโนมัติ
ข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็น : ข้อมูลที่จำเป็นต่อการคำนวณค่า CFO แต่ไม่ได้มีบันทึกไว้ในระบบทั้งสอง ผู้ประกอบการสามารถกรอกข้อมูลเข้าสู่ Acamp โดยตรงผ่านหน้าเว็บแอปพลิเคชัน เช่น ปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่งสินค้า หรือปริมาณเชื้อเพลิงในการเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิต
เมื่อนำเข้าข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว Acamp จะคำนวณข้อมูล CFO ขององค์กรโดยอัตโนมัติและแสดงผลในรูปแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย
ในการเริ่มต้นใช้งานระบบ Acamp ครั้งแรก จะมีทีมที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและระบบโรงงานซึ่งผ่านการอบรมโดยเนคเทค สวทช. (ปัจจุบันมีมากกว่า 70 คน) เข้าช่วยตั้งค่าระบบอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องและวางแผนการคำนวณค่า CFO ของโรงงานให้ตรงตาม GHG Protocol ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการวางระบบ หลังจากนั้น Acamp จะทำงานโดยอัตโนมัติ
จุดเด่นสำคัญของ Acamp คือ:เป็นระบบ adaptive ที่สามารถปรับแต่งสูตรการคำนวณให้สอดคล้องกับค่า EF ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กำหนด ณ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ , การจัดเก็บ วิเคราะห์ และคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์เป็นไปตามมาตรฐานสากล ISO 14064-1 ทำให้ผู้ประกอบการนำข้อมูลไปใช้ยื่นเพื่อการทำการค้ากับต่างประเทศได้ทันที และ สามารถแสดงผลการคำนวณและติดตามผลแบบเรียลไทม์ ทำให้สะดวกต่อการรายงานค่า CFO และการนำข้อมูลไปใช้วางแผนปรับปรุงการทำงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
สำหรับเป้าหมายปลายทางของทีมวิจัยในการพัฒนา Acamp คือ การทำให้ผู้ประกอบการตระหนักรู้ถึงค่า CFO และ CFP ของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การประเมินความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยคาร์บอนในแต่ละกิจกรรมขององค์กร โดยในอนาคต ทีมวิจัยมีแผนจะร่วมกับทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางแขนงต่างๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ประกอบการในการลดการปล่อยคาร์บอน มุ่งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero emissions) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยและประชาคมโลก
ด้วยนวัตกรรม Acamp นี้ ผู้ประกอบการไทยจะมีเครื่องมือที่ทรงพลังในการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถปรับตัวรับมาตรการภาษีคาร์บอนที่กำลังขยายตัวในหลายประเทศทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง