ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาไฟป่าที่ลุกลามป่าต้นน้ำของไทยไม่เพียงแต่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นทุกปี ประเทศไทยจึงมีแนวคิด "กลไกการจ่ายค่าตอบแทนบริการระบบนิเวศ" หรือ PES (Payment for Ecosystem Services) มาใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ดร.บัณทูร เศรษฐศิโรฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม อธิบายว่า กระแสคาร์บอนเครดิตทำให้สังคมมองป่าในมุมเดียวคือเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน แต่แท้จริงแล้ว ป่าเป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่ เช่น ให้อาหาร น้ำสะอาด อากาศดี จึงควรมีกลไกให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้มารักษาธรรมชาติไว้ให้ไม่เสื่อมโทรม
Payment for Ecosystem Services เป็นแนวคิดทางเศรษฐกิจที่ผู้ได้รับประโยชน์จากการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จ่ายเงินหรือสนับสนุนทรัพยากรให้แก่ผู้ที่ดูแลระบบนิเวศ ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดของตลาดคาร์บอนที่ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย
อีกทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย ที่มีทรัพยากรเงินและบุคลากรภาครัฐอยู่อย่างจำกัด และมักติดขัดเรื่องกฎระเบียบทำให้การทำงานเชิงป้องกันล่าช้า
ชาวบ้านในพื้นที่คือคนสำคัญในฐานะ นิเวศบริกร ซึ่งมีความเข้าใจในพื้นที่และอยู่ร่วมกับป่ามาเนิ่นนาน ความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทำกินกับพื้นที่อุทยาน จะเบาบางลงได้เมื่อเรามีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ได้ว่า ควรให้คนอยู่กับป่า ยกตัวอย่างบนดอยสุเทพที่มีไฟไหม้ทุกปี แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่มีไฟไหม้มา 5 ปีแล้ว คือบริเวณรอบ ๆ บ้านปงเหนือ เพราะชาวบ้านใช้กระบวนการชิงเผาลดเชื้อเพลิงใบไม้ จัดหน่วยลาดตระเวน ติดตั้งกล้องคอยจับคนจุดไฟ และกำลังพัฒนาการทำป่าเปียก ทุกอย่างที่ชาวบ้านทำล้วนมีต้นทุน แต่นับว่าคุ้มค่ากว่ามากเมื่อเทียบกับการใช้งบประมาณเพื่อดับไฟ เราจึงต้องการกลไกการเงินมาสนับสนุนเหล่านิเวศบริกร
ในต่างประเทศ แนวคิดนี้ถูกพัฒนามานานกว่า 30 ปี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ รัฐบาลอังกฤษพัฒนาแนวคิด Natural Capital หรือการมองธรรมชาติในฐานะ "สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ" ที่มีมูลค่าแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้ แม่น้ำ หรือระบบนิเวศต่าง ๆ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ขับเคลื่อนการเก็บเงินจากผู้ได้รับประโยชน์จากการอนุรักษ์
ด้าน นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการแผนงานวิจัยมุ่งเป้า ลดปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือ 8 จังหวัด สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ความสามารถฟื้นฟูป่าที่สามารถวัดผลได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นี้ กำลังจะถูกพัฒนาต่อด้วยการใช้ remote sensing ตรวจวัดติดตามใกล้ชิดมากขึ้น และจะนำไปสู่การสนับสนุนจากภาคเอกชนหรือประชาสังคมที่เข้มแข็ง
ล่าสุด คณะทำงานฯ ได้ลงพื้นที่บ้านแม่สาน้อย ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษาความสำเร็จของผู้นำชาวม้งในเขตอุทยานดอยสุเทพ-ปุย ที่ร่วมกับ 13 หมู่บ้านใกล้เคียงฟื้นฟูป่าต้นน้ำและจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปลูกพืชท้องถิ่นกว่า 30 ชนิด จนฟื้นความหลากหลายทางชีวภาพได้เกือบ 100 สายพันธุ์
เขียนโดย : ธันยมัย อนันตกรณีวัฒน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง