"ศิธา" เฉ่งนักการเมืองตัวการทำ "ค่าไฟแพง" สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน

น.ต.ศิธา ทิวารี ประธานองค์กรส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและต่อต้านการผูกขาด เปิดเผยในงานเสวนา "สาเหตุไฟฟ้าแพง ประชาชนเดือดร้อนเพราะใคร" โดยระบุว่า ผู้ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุดที่แท้จริงก็คือนักการเมือง เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของภาครัฐ และประชาชนที่จะต้องเข้าไปทำงาน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเป็นผู้ที่จะต้องไปเจรจากับภาคเอกชนในการประมูลงาน เข้ามาทำงาน แต่ผู้ที่มีหน้าที่เจรจาไม่ได้เข้าข้างเพื่อผลประโยชน์ให้ ซึ่งเปรียบเสมือนการมีทนายที่เข้าข้างฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ช่วยเจรจาให้ชนะคดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าสาเหตุดังกล่าวเป็นการหมักหมมที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยมานาน โดยเมื่อต้องการแก้ไข ซึ่งใช้วิธีการโจมตีภาคเอกชน ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากภาคเอกชนมีสัญญาที่ชัดเจน และรัดกุม ดังนั้น ผู้ที่จะแก้ไขได้ก็คือคณะปฏิวัติ หรือผู้ที่จะยึดอำนาจ เนื่องจากสามารถฉีกรัฐธนรรมนูญ หรือกำหนดกฏเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ได้

แต่หากเป็นนักการเมืองที่ถูกเลือกตั้งเข้ามาด้วยระบบประชาธิปไตย ก็จะถูกฟ้องกลับมาทั้งหมด โดยอย่างที่ทราบกันดีว่าการฟ้องจะมีมูลค่าถึงหลัก 10 ล้าน หรือ 100 ล้านบาท 

"ในยุคปัจจุบันการฟ้องร้องในลักษณะดังกล่าวเรียกว่าเป็นการปิดปาก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับประเทสไทย เนื่องจากมีการผสมกลมกลืมกันทั้งในเรื่องของขั้วอำนาจเก่า และขั่้วอำนาจใหม่ที่ต้อสู้กันมาร่วม 20 ปี เมื่อรวมกันจึงไม่มีส่วนไหนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนเลย"

นอกจากนี้ อย่างที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 67 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบนเวที “Vision For Thailand” โดย “เนชั่น กรุ๊ป” ซึ่งตนเองก็เคยอยู่พรรคเพื่อไทย 
 

โดยวงในเท่าที่ทราบมาก็คือ วันนั้นที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และปัจจุบันนายกรัฐมนตรีก็คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นบุตรสาวซึ่งนายทักษิณใช้คำว่าครองครอง ไม่ใช่ครอบงำ แต่ปรากฎว่าสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งตนได้ยินมาก็คือ  เมื่อลูกสาวเป็นนายกฯ ก็จะพูดชัด และตรงถึงปัญหาของประเทศชาติ โดยเฉพาะเรื่องทุนผูกขาด  ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครรู้ดีเรื่องดังกล่าว และสามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าเต็มใจ และจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่มีใครทำได้ดีเท่านายทักษิณ

อีกทั้งยังได้รับรู้มาว่า เมื่อนางสาวแพทองธารได้มาเป็นนายกแล้ว จะจัดการเรื่องดังกล่าวอย่างเด็ดขาด และจะพูดในงานวันที่ 22 ก.ย. ดังกล่าวอย่างชัดเจน และรุนแรงเลยว่า ปัญหาของประเทศไทยทุกวันนี้ ที่ประชาชนไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ รวมถึงคุณภาพชีวิตเสื่อมถอยลงทุกวัน และมีความเหลื่อมล้ำสูงเป็นอันดับต้นของโลกเกิดจากอะไร

"เคยพูดบ่อยครั้งว่าเดิมทีมหาเศรษฐีของโลกก็จะเป็นหน้าเก่า แต่ในปัจจุบัน 9 ใน 10 ของมหาเศรษฐีระดับโลกมาจากนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ แซงเศรษฐีเก่าหมด แต่ประเทศไทยกลับกลายเป็นว่าเศรษฐีที่ขยับขึ้นมาเป็นอันดับต้นมาจากเรื่องผูกขาดแทบทั้งสิ้น ผู้ที่เคยทำธุรกิจรูปแบบอื่นก็มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบผูกขาด หรือการประมูลงานจากภาครัฐ เมื่อเป็นในลักษณะดังกล่าวจึงมีคำกล่าวที่ว่า ประชาชน 90% ของไทยครอบครองสินทรัพย์ไม่ถึง 10% แต่ประชาชนไม่ถึง 10% ของไทยครอบครองสินทรัพย์มากกว่า 90% หากปล่อยให้เกิดช่องว่าง หรือความเหลื่อมล้ำดังกล่าวต่อไปก็คงจะไม่ดี"