ส่องราคาน้ำมันไทย เทียบประทศอาเซียน ขายแพงหรือถูกกว่า?

23 เม.ย. 2567 | 04:57 น.

ส่อง "ราคาน้ำมัน" ไทยเทียบประทศอาเซียนขายแพง-ถูกกว่า เช็ตเลยที่นี่มีคำตอบ ทั้งน้ำมันเบนซิน ดีเซล ระบุแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง มาตรการด้านภาษี และนโยบายการชดเชยราคาน้ำมัน

นายวีรพัฒน์  เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลของประเทศไทยและต่างประเทศวันที่ 25 มีนาคม 2567 พบว่า ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ประเทศสิงคโปร์มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 78 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 38.65 บาทต่อลิตร 

ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลนั้น ประเทศสิงคโปร์ มีระดับสูงสุดในกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 72.87 บาทต่อลิตร ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 8 ของกลุ่มอาเซียน อยู่ที่ระดับ 29.94 บาทต่อลิตร 

อย่างไรก็ตาม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง มาตรการด้านภาษี และนโยบายการชดเชยราคาน้ำมันของประเทศนั้น โดยสนพ. จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานที่อาจจะเกิดขึ้น และสามารถดำเนินการบรรเทาผลกระทบด้านราคาพลังงานต่อประชาชนในระยะต่อไป 
 

นายวีรพัฒน์ กล่าวอีกว่า สนพ. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนมีนาคม 2567 พบว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในปี 2567 

ส่อง "ราคาน้ำมัน" ไทยเทียบประทศอาเซียนขายแพง-ถูกกว่า คลิกเลย

โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 103.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมทั้งเศรษฐกิจของจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย ภายหลังสำนักสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 0.7% และถือเป็นขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน 

สำหรับภาพรวมราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในอาเซียนในเดือนมีนาคมที่ผ่านนั้น พบว่า ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเกือบทุกประเทศ ยกเว้นประเทศลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ และเวียดนามที่ปรับตัวลดลง 
 

อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่น่าจับตามองในด้านต่าง ๆ อาทิ ตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันดิบของจีน แม้ว่าจีนได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับ ปี 2567 ที่ประมาณ 5% แต่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการตั้งเป้าหมายที่เกินจริง หากไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 

นอกจากนี้ แม้ว่าการน้าเข้าน้ำมันดิบของจีนจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนแรกของปีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงน่ากังวล ภายหลังการเจรจาหยุดยิงชั่วคราวระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากอิสราเอลยังคงยืนยันที่จะไม่เข้าร่วมในการเจรจาท่ามกลางเทศกาลรอมฏอน ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2567