ดีเซลจ่อขึ้นราคา 5 บาทหลังคลังไม่ต่ออายุภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล

28 พ.ค. 2566 | 06:02 น.

ดีเซลจ่อขึ้นราคา 5 บาทหลังคลังไม่ต่ออายุภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ระบุจะครบกำหนดวันที่ 20 ก.ค. 2566 อ้างต้องรอรัฐบาลชุดใหม่มาตัดสินใจ เนื่องจากมีผลกระทบในเรื่องของงบประมาณ

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกระทรวงการคลังว่ามาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ที่จะครบกำหนดวันที่ 20 ก.ค.2566 นั้น กระทรวงการคลังได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่ต่อมาตรการดังกล่าว 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังให้เหตุผลว่าต้องรอรัฐบาลชุดใหม่มาตัดสินใจ เนื่องจากมีผลกระทบในเรื่องของงบประมาณการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตที่ต้องหายไปด้วย 

อย่างไรก็ดี สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ รวม 2 ก้อนจำนวน 50,000 ล้านบาท จากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้บรรจุวงเงินหนี้สาธารณะไปแล้วรวม 110,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

แบ่งเป็นกู้รอบแรก 30,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ ได้นำไปชำระหนี้ผู้ค้ามาตรา 7 หมดแล้ว และรอบที่ 2 อีก 20,000 ล้านบาท จากวงเงิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะเหลือวงเงินกู้อีก 60,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดกู้รอบใหม่ 

อย่างไรก็ตาม ในการของกู้เงินของ สกนช. ครั้งนี้นั้น ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้กับสกนช. ในกรอบวงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท และต้องดำเนินการกู้เงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ต.ค. 2566 นี้เท่านั้น 

ซึ่งจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่ลดลงในช่วงนี้ สบน. จึงเห็นว่าการกู้เงินที่ 1.1 แสนล้านบาทน่าจะเพียงพอแล้ว อีกทั้งควรรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาร่วมตัดสินใจ และเมื่อกระทรวงการคลังไม่ต่อภาษีดีเซลอาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและรับภาระเพิ่ม 5 บาททันที

ดีเซลจ่อขึ้นราคา 5 บาทหลังคลังไม่ต่ออายุภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล

สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันฯ วันที่ 21 พ.ค. 2566 ติดลบอยู่ที่ 72,731 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • บัญชีน้ำมันติดลบ 26,111 ล้านบาท 
  • บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 46,620 

จากสถานะดังกล่าวจะเห็นว่ามากกว่าบัญชีน้ำมันแล้ว เนื่องจากปัจจุบันกองทุนน้ำมันยังใช้เงินพยุงราคาก๊าซหุงต้ม LPG เฉลี่ย เดือนละประมาณ 600 ล้านบาท ตกวันละ 25 ล้านบาท ซึ่งการกู้เงินก้อนที่เหลือจะนำมาชำระหนี้ผู้ค้ามาตรา 7 อีกราว 70,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ สิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังต้องตัดสินใจร่วมกัน คือ การคาดการณ์นโยบายล่วงหน้าของรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ อย่างไร และใครจะมาบริหารราคาพลังงาน เพราะอีกไม่นานนายกุกิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานจะเกษียณอายุราชการในปี 2566 นี้ 

การสานต่อนโยบายรัฐบาลก็จะต้องดูว่าใครจะมาบริหารงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ และจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อย่างไร 

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า มาตรการการลดภาษีดีเซลที่ผ่านมารวม 7 ครั้ง กระทบรายได้รัฐ 158,000 ล้านบาท ดังนี้ 

  • วันที่ 18 ก.พ.-20 พ.ค.2565 (3 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 3 บาท รัฐสูญรายได้ 18,000 ล้านบาท 
  • วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
  • วันที่ 21 ก.ค.-20 ก.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท     
  • วันที่ 21 ก.ย.-20 พ.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท     
  • วันที่ 21 พ.ย.2565-20 ม.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาทรัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท 
  • วันที่ 21 ม.ค.-20 พ.ค.2566 (4 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 40,000 ล้านบาท
  • วันที่ 21 พ.ค. - 20 ก.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 40,000 ล้านบาท