KEY
POINTS
ผลบอลสุดปาฏิหาริย์แห่งโตเกียว ญี่ปุ่นพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 0-2 แซงเอาชนะบราซิล 3-2 คว้าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์เหนือแชมป์โลก 5 สมัย
ทีมชาติญี่ปุ่นทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรนานาชาติประจำปี 2025 โดยสามารถ พลิกนรกกลับมาเอาชนะทีมชาติบราซิลได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยสกอร์ 3-2
ในเกมที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ณ สนามอายิโนะโมโตะ กรุงโตเกียว เมื่อวันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2025 โดยมีแฟนบอลเข้าชมเต็มความจุ 44,920 คน
ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นไม่เคยเอาชนะบราซิลได้เลยในการพบกัน โดยสถิติการพบกันทั้งหมด 9 ครั้งหลังสุด ญี่ปุ่นมีสถิติเสมอ 2 ครั้ง และแพ้ 7 ครั้ง ทำให้ชัยชนะครั้งนี้เป็นหนึ่งในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลญี่ปุ่น
รายละเอียดครึ่งแรก: บราซิลออกนำด้วยความเหนือชั้น
ทีมชาติบราซิลภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งมาพร้อมกับความมั่นใจหลังจากเอาชนะเกาหลีใต้มาอย่างท่วมท้น 5-0 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แสดงความเหนือชั้นในครึ่งแรกและขึ้นนำไปก่อนถึง 2 ประตู:
นาทีที่ 26: บราซิลได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะที่ บรูโน่ กีมาไรส์ มิดฟิลด์จากนิวคาสเซิล จ่ายบอลทะลุช่องอย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ เปาโล เฮนริเก กองหลังจากหมายเลข 13 จะยิงอย่างทรงพลังเข้าประตูไป
นาทีที่ 32: เพียง 6 นาทีต่อมา บราซิลก็ทิ้งห่างเป็น 2-0 เมื่อ ลูคัส ปาเกต้า มิดฟิลด์จากเวสต์แฮม จ่ายบอลให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี กองหน้าจากอาร์เซนอล ที่ยิงเรียดเข้าประตูไปอย่างเฉียบคม
เมื่อจบครึ่งแรก สกอร์นำ 2-0 ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าบราซิลน่าจะคุมเกมและคว้าชัยชนะไปได้
ครึ่งหลัง: การคัมแบ็กอันน่าเหลือเชื่อและความผิดพลาดของบราซิล
ญี่ปุ่นภายใต้การนำของกุนซือ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ได้แสดงให้เห็นถึงการพลิกสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่น่าเชื่อ โดยสามารถทำได้ถึง 3 ประตู ภายในช่วงเวลาที่น่าทึ่งเพียง 19 นาที
นาทีที่ 52: ทาคุมิ มินามิโนะ อดีตกองหน้าลิเวอร์พูล ฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการจ่ายบอลของ ฟาบริซิโอ บรูโน่ กองหลังบราซิล ทำให้มินามิโนะได้ยิงจากกรอบเขตโทษเข้าไปตุงตาข่าย ตีไข่แตกเป็น 1-2
นาทีที่ 63: ญี่ปุ่นตามตีเสมอเป็น 2-2 ได้สำเร็จ จากการยิงของ เคย์โตะ นากามูระ เป็นจังหวะที่ ฟาบริซิโอ บรูโน่ เข้าสกัดบอลแต่กลับหวดบอลเข้าประตูตัวเองอย่างน่าผิดหวัง นับเป็นช่วงเวลา "เลวร้าย" สำหรับบรูโน่
นาทีที่ 71: อายาเสะ อุเอดะ โหม่งทำประตูชัยที่จุดประกายความดีใจอย่างล้นหลาม ณ สนามอายิโนะโมโตะ อุเอดะขึ้นโหม่งอย่างหนักหน่วงเอาชนะ ลูคัส เบรัลโด้ กองหลังบราซิล จากลูกเตะมุมที่เปิดมาอย่างแม่นยำของ จุนยะ อิโตะ ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 54
สถิติเชิงลึก: ญี่ปุ่นเฉียบขาดกว่าแม้ครองบอลน้อย
แม้ว่าบราซิลจะครองบอลได้ถึง 67.2% และญี่ปุ่นครองบอลเพียง 32.8% โดยบราซิลจ่ายบอลรวม 754 ครั้ง เทียบกับ 352 ครั้งของญี่ปุ่น แต่ทีมชาติญี่ปุ่นกลับมีประสิทธิภาพในการโจมตีเหนือกว่าอย่างชัดเจน:
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีการยิงชนเสาหรือคาน 1 ครั้ง ในขณะที่บราซิลไม่มีเลย
ปฏิกิริยาหลังเกมและการเตรียมพร้อมสำหรับฟุตบอลโลก
ทั้งสองประเทศได้ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2026 เรียบร้อยแล้ว เกมนี้จึงถูกใช้เพื่อเตรียมความพร้อม โดยบราซิลได้ส่งผู้เล่นจากพรีเมียร์ลีกหลายคนลงสนามเป็นตัวจริง เช่น บรูโน่ กีมาไรส์, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, ลูคัส ปาเกต้า และ คาเซมิโร่
คาเซมิโร่ กัปตันทีมบราซิล แสดงความไม่พอใจต่อฟอร์มการเล่นในครึ่งหลัง โดยได้ให้สัมภาษณ์กับ Globo สถานีโทรทัศน์บราซิลว่า: “มันคือภาวะ 'ดับมืด' (blackout) ของทุกคนในทีมเราในครึ่งหลัง”
เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเล่นในระดับสูงสุด: “นี่คือระดับสูงสุด หากคุณเผลอหลับไปตลอดทั้งครึ่งหลัง มันอาจทำให้คุณต้องเสียฟุตบอลโลก, โคปา อเมริกา หรือเหรียญโอลิมปิกไปได้” คาเซมิโร่กล่าวทิ้งท้ายว่านี่เป็นสิ่งที่ "รับไม่ได้อย่างยิ่ง" และพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้จากบทเรียนนี้อย่างเร่งด่วน เนื่องจากฟุตบอลโลกอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
สำหรับญี่ปุ่น ชัยชนะอันน่าจดจำนี้ทำให้พวกเขายืดสถิติ ไม่แพ้ใครในบ้านติดต่อกันเป็น 21 นัด โดยพวกเขาไม่แพ้ใครในประเทศนับตั้งแต่พ่ายแพ้ต่อโคลอมเบียเมื่อเดือนมีนาคม 2023