ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

14 ส.ค. 2568 | 10:55 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ส.ค. 2568 | 11:14 น.

เครือซีพีลงพื้นที่ 5 จังหวัด มอบทุนการศึกษาและโอกาสเข้าทำงานให้บุตร–บุตรีของทหารหาญผู้เสียสละชีวิตจากเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา สะท้อนพลังความห่วงใยจากภาคเอกชนสู่ครอบครัวทหารกล้า ตามค่านิยม “3 ประโยชน์”

เมื่อวันที่ 7–9 สิงหาคม 2568 เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดย นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี อุดรธานี อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร มอบทุนการศึกษาจนถึงปริญญาตรี พร้อมโอกาสทำงานในเครือเจริญโภคภัณฑ์ในอนาคต แก่บุตร-บุตรีรวม 6 คน ของทหารหาญผู้เสียสละชีวิตปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติจากสถานการณ์สู้รบแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2568

พร้อมทั้งมอบ “กล่องกำลังใจ” ซึ่งจัดเตรียมอุปกรณ์การเรียนตามช่วงวัย “บันทึกกำลังใจ” จากพนักงานเครือซีพี และของที่ระลึกจากกลุ่มธุรกิจในเครือฯ เพื่อส่งต่อพลังใจและความห่วงใยสู่ครอบครัวทหารกล้าด้วยความซาบซึ้งและจริงใจ

นายจอมกิตติ ระบุว่า การช่วยเหลือครั้งนี้สอดคล้องกับค่านิยม “3 ประโยชน์” ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร เป็นไปตามดำริของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร ที่ต้องการส่งต่อความห่วงใยจากเครือฯ สู่ครอบครัวของผู้ที่เสียสละเพื่อชาติ

ในนามของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อความกล้าหาญของทหารกล้า และขอมอบทุนการศึกษานี้เพื่อสนับสนุนครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังผู้ที่เขารัก และเป็นแรงใจสำคัญให้เดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มแข็ง

เริ่มจากครอบครัวแรกคือ ครอบครัวของสิบเอกจิรายุส อินทุมาน อายุ 31 ปี ทหารหาญ ซึ่งได้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ปัจจุบันมีบุตรี 1 คน วัย 10 ปี

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

ซึ่งนางสมพิศ อินทุมาร มารดาของ สิบเอกจิรายุส อินทุมาน กล่าวว่า “ครอบครัวรู้สึกภูมิใจในตัวบุตรชายมาก ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ในครั้งนี้ ซึ่งครอบครัวตั้งแต่บิดา รวมไปถึงพี่ชายของสิบเอกจิรายุสต่างก็รับราชการเป็นทหาร ตลอดเวลาที่ลูกได้ทำหน้าที่ในการรับใช้ชาติ ท่ามกลางความเสี่ยงต่ออันตรายต่างๆ แม้จะเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ก็แอบแฝงไปด้วยความรู้สึกภูมิใจมาโดยตลอดเช่นกัน ท่ามกลางความสูญเสียที่เกิดขึ้นจนยากที่จะทำใจ ก็ยังคงมีกำลังใจจากผู้คนมากมายทั้งจากคนที่รู้จักและไม่รู้จักส่งมาให้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ตอนนี้ครอบครัวเริ่มกลับมาเข้มแข็งมากขึ้น”

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

เช่นเดียวกับนางมธุลิน สีจุ้ยจ้าย ภรรยาของจ่าสิบเอกธีระยุทธ สีจุ้ยจ้าย อายุ 39 ปี ทหารหาญ ผู้สละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทยในเหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นครอบครัวที่ 2 ที่เครือซีพีลงพื้นที่พบปะ ระบุว่า

“ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน จ่าสิบเอกธีระยุทธเป็นคนที่ดูแลครอบครัวดีมาก ลูกสองคนผูกพันกับพ่อมาก ลูกๆ มีความอดทนเหมือนพ่อ ตอนแรกก็กังวลมาก เพราะต้องดูแลลูกสองคนคนเดียว แต่เมื่อได้รับกำลังใจ และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน รู้สึกเบาใจลงเยอะมาก ซาบซึ้งใจอย่างที่สุด และต่อจากนี้จะเข้มแข็งให้ได้เพื่อลูก” ขณะที่เด็กหญิงจุฑามาศ สีจุ้ยจ้าย บุตรีคนโต เปิดเผยความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าถึงความฝันในอนาคตว่า “อยากเป็นแพทย์ทหาร อยากรักษาทั้งคนทั่วไปและทหาร เพราะไม่อยากให้ใครต้องเสียชีวิตเหมือนคุณพ่ออีก”

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

การสละชีพของจ่าสิบเอกอโณทัย ป้องแก้ว อายุ 32 ปี ทหารหาญที่สละชีพจากการปะทะที่ปราสาทตาเหมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นับเป็นการสูญเสียของ “ผู้เป็นพ่อ” ของ “ลูก” ครอบครัวที่ 3 ที่เครือซีพีลงพื้นที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อมอบทุนการศึกษา และโอกาสเข้าทำงานทุกกลุ่มธุรกิจในเครือฯในอนาคต โดยปัจจุบันจ่าสิบเอกอโณทัย มีลูกชายวัย 2 ปี 8 เดือน ซึ่งมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงข้างขวา

นางสาวเพ็ญศิริ ศรีลาภา ภรรยาของจ่าสิบเอกอโนทัย ระบุว่า “จ่าสิบเอกอโณทัยมีนิสัยรักครอบครัว เมื่อได้พักจากหน้าที่และกลับมาที่บ้าน ก็มักจะใช้เวลาอยู่กับลูก และภรรยาอย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ จ่าสิบเอกอโณทัยเป็นห่วงลูกมาก อยากให้ลูกได้ทำตามฝัน มีอาชีพที่มั่นคง และมีความสามารถด้านภาษา” ซึ่งนางสาวเพ็ญศิริ ยืนยันว่า “แม้จะสูญเสียสามี แต่ตนเองจะเข้มแข็งเพื่อดูแลลูก และครอบครัวต่อไป และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การช่วยเหลือ”

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

 ครอบครัวที่ 4 ที่เครือซีพีลงพื้นที่ มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร คือ ครอบครัวของจ่าสิบเอกธวัชชัย บุสภา อายุ 34 ปี ทหารหาญที่สละชีพจากการปะทะที่เขาสัตตะโสม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 โดยที่บ้านอำเภอคำชะอี มีครอบครัวทั้งบิดา มารดา ภรรยา และลูกชายอายุ 1 ปีอาศัยอยู่

นางวิลัย บุสภา ผู้เป็นมารดาจ่าสิบเอกธวัชชัย ได้สะท้อนความในใจ โดยระบุว่า “รู้สึกสะเทือนใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาจ่าสิบเอกธวัชชัย เป็นเสาหลักของครอบครัว รักและดูแลครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ เขาเป็นห่วงลูกชายของเขามาก” เคยเปรยว่า “หากในอนาคตไม่มีเงินส่งลูกเรียน ก็สามารถให้แม่นำกีตาร์ที่สะสมไว้จำนวนมาก มาขายเพื่อนำเงินมาส่งลูกเรียนได้ ซึ่งตนยืนยันว่า “จะเลี้ยงหลานร่วมกับลูกสะใภ้ให้เติบโตเหมือนกับที่จ่าสิบเอกธวัชชัยมุ่งหวังไว้”

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

จำนวนนายทหารหาญที่เสียชีวิตจากการปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งสิ้น 15 นาย จำนวนนี้มี 5 นาย ที่มีบุตร และบุตรี ซึ่งรวมถึงครอบครัวสุดท้ายที่เครือซีพีลงพื้นที่พบปะที่จังหวัดร้อยเอ็ด คือ ครอบครัวของสิบโทต่อพงศ์ พันดวง อายุ 26 ปี ทหารหาญที่เสียสละชีวิตจากการปะทะที่ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 มีบุตรี 1 คน อายุเพียง 8 เดือน ซึ่งขณะนี้นางสาวพรนภัส พันดวง ภรรยากำลังศึกษาอยู่ และระบุว่า “จะรีบกลับไปเรียนให้จบ และทำงาน เพื่อมาดูแลลูกให้ดีที่สุดต่อไป”

ซีพีสานภารกิจ "3 ประโยชน์" มอบทุน–โอกาสทำงาน ช่วยลูกทหารกล้า 5 จังหวัดชายแดน

การมอบทุนการศึกษาโดยไม่มีข้อผูกมัด รวมถึงการเปิดโอกาสให้เข้าทำงานทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตลอดจนกำลังใจครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งบทสะท้อนของ “ความห่วงใยที่จับต้องได้” ที่เครือซีพีเชื่อมั่นว่า จะหล่อเลี้ยงความหวังให้ครอบครัวผู้เสียสละได้ก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง ด้วยพลังของความรักจากสังคมไทยที่ไม่ลืม “ทหารกล้า” และครอบครัวของพวกเขา