“การศึกษา” คือปัจจัยสำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศ เป็นการวางรากฐานให้กับชีวิตและเป็นอาวุธสำคัญที่จะช่วยพัฒนาคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพ เมื่อการศึกษาสามารถสร้างคนให้มีทักษะความรู้ความสามารถ ในอนาคตเยาวชนเหล่านี้ก็สามารถมาช่วยพัฒนาประเทศได้
แต่โอกาสทางการศึกษาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย หนึ่งในสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้อัตราการว่างงานในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น รายได้ต่อครัวเรือนของคนไทยลดลง เป็นเหตุทำให้เด็กนักเรียนจำนวนมากเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นับเป็นหนึ่งในภาคเอกชนของไทยที่เข้ามาให้ความสำคัญ ในการมีส่วนร่วมการลดช่องว่างทางการศึกษา โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ปตท. ได้จัดตั้งโครงการ “ลมหายใจเพื่อน้อง” โครงการที่มาจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) โดยได้มอบทุนการศึกษา 151 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเยาวชนจำนวน 60,000 คน ที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาในปี 2565 ให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ภายใต้กิจกรรม PTT Virtual Run ซึ่งความสำเร็จของโครงกาคือความสำเร็จที่มาจากความร่วมมือของคนไทยทั้งประเทศ
เปิดความสำเร็จโครงการ “ลมหายใจเพื่อน้อง”
เฟสที่ 1 :
ปตท. จัดกิจกรรม PTT Virtual Run ภายใต้โครงการ “ลมหายใจเพื่อน้อง” โดยมีเป้าหมายของโครงการคือการเดิน-วิ่งระดมทุนการศึกษาเพื่อเยาวชน จำนวน 151 ล้านบาท เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรม โดยมีเงื่อนไขคือการเดินหรือวิ่งสะสมระยะทาง ทุก 1 กิโลเมตร มีมูลค่าเท่ากับ 250 บาท โดย 10 กิโลเมตร จะมีมูลค่าเป็นทุนการศึกษาจำนวน 2,500 บาท
ซึ่งโครงการสามารถสร้างสถิติใหม่โดยสะสมระยะทาง 600,000 กิโลเมตร ด้วยเวลาเพียง 6 วัน มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นรวม 93,061 คน รวมระยะทางเดิน-วิ่งสะสม 7,425,061 กิโลเมตร บรรลุเป้าหมายของโครงการที่ต้องการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา 60,000 คน ได้กลับเข้าเรียนอีกครั้งในภาคการเรียนปี 2565 โดยแบ่งออกเป็นช่วงรอยต่อการศึกษาดังนี้
ซึ่งทุนการศึกษาสามารถกระจายไปถึงเด็ก ๆ ได้ในทั่วประเทศ โดยมีจำนวนนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาแล้ว รวม 60,000 คน แบ่งออกเป็น
ทุน ปตท. ลมหายใจเพื่อน้อง โอกาสเพื่อนักเรียนทุนเสมอภาค กสศ. ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานกับโรงเรียน 17,432 แห่งใน 4 สังกัด ได้แก่ สพฐ. ตชด. อปท. และ สช. เพราะต้องสำรวจสถานะนักเรียนของทุนเสมอภาค กศส. จำนวน 60,000 คน ที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบ โดยมีข้อมูลเจาะลึกจากครูในพื้นที่ที่ดูแลนักเรียนใกล้ชิดตลอดระยะเวลา ไม่น้อยกว่า 3 ปีการศึกษา ค้นหาและพบเด็กกลุ่มเสี่ยง โดยจัดสรรเงินทุนจำนวน 151 ล้านบาทในโครงการลมหายใจเพื่อน้อง ได้รับความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด และทันท่วงที สามารถไปต่อในระบบการศึกษาต่อได้
โดยมีภาพสะท้อนผ่านมุมมองครูผู้ที่อยู่เบื้องหลัง โดยคุณครูซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับนักเรียนต่างมองว่า หากไม่มีทุนการศึกษามาช่วยเด็ก ๆ เหล่านี้ โอกาสของพวกเขาก็อาจจะถูกพรากออกไปด้วย
“เด็กที่ขาดโอกาสเขาเสี่ยงหลุดหายจากระบบได้ตลอด ปัญหาคือเราไม่มีโรงเรียนมัธยมใกล้เคียง หากอยากเรียนต้องไปนอกหมู่บ้าน ทีนี้พอจบ ป.6 ต้องไปต่อโรงเรียนใหม่ การเดินทางเปลี่ยน ทางไกลขึ้น ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นตามกัน หลานบ้านที่ไม่ไหวเขาก็ถอดใจไม่ส่งลูกเรียนต่อแล้ว” ครูนงลักษณ์ งามใจ ดรงเรียนบ้านหนองขาม (ทองงามวิทยา) อ.คอนสวรรค์ จ.ชัยภูมิ ผู้มีส่วนช่วยให้นักเรียนได้รับทุนลมหายใจเพื่อน้อง 4 คน
“คือเงินก้อนนี้สำหรับบางคนอาจคิดว่าเป็นก้อนเล็กๆ แต่สำหรับเด็กกลุ่มนี้ พูดได้ว่าเป็นการต่อลมหายใจให้พวกเขาจริง ๆ ทั้งเรื่องชีวิตและการศึกษา มันทำให้ความเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบลดลง เด็กไม่ต้องหยุดเรียนไปทำงาน เติมเต็มปากท้องและดึงพวกเขาให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง”
ครูอัญชลี กอมสิน โรงเรียนบ้านโคกใหญ่ อ.ท่าลี่ จ.เลย ได้รับทุนลมหายใจเพื่อน้อง 5 คน
การศึกษาคือการลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน
เฟสที่ 2 :
นอกจากนี้ปตท. ต่อยอดความสำเร็จ “ลมหายใจเพื่อน้อง” เฟส 2 รวมพลัง “ก้าวต่อกับก๊อดจิ” จัดตั้ง “กองทุนแรกเริ่มศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในวิกฤตการศึกษา” 20 ล้านบาท กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กศส.) ได้ดำเนินงานภายใต้ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในภาวะวิกฤตทางการศึกษา เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบ โดยมีพื้นที่ดำเนินงาน 4 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ยะลา ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร โดยได้ดำเนินการช่วยเหลือรวมจำนวน 302 คน โดยมีผลการวิเคราะห์ สาเหตุหลักของเด็กและเยาวชนที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา คือปัญหาด้านเศรษฐกิจสูงสุดจำนวน 280 คน (92.71% ของเด็กและเยาวชนทั้งหมด)
โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้
หัวใจสำคัญของการสร้างคน คือการให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา หากเยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้แล้ว ในอนาคตเด็กและเยาวชนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป