เศรษฐกิจทรุด หนี้ครัวเรือน ศึกใน-นอกตัวแปรฉุดเชื่อมั่น ตลาดอสังหาฯ

02 ส.ค. 2568 | 20:01 น.

เศรษฐกิจทรุด ศึกใน-ศึกนอกประเทศตัวแปรฉุดความเชื่อมั่น รายได้ไม่พอรายจ่าย หนี้ครัวเรือนสูง จีนไม่กลับมา กระทบตลาดอสังหาฯ แม้ภาษีทรัมป์ลดลงเหลือ19 % จาก36% หากเศรษฐกิจโลกดิ่ง นักลงทุนต้องระมัดระวัง

 

 

เศรษฐกิจของประเทศไทยชะลอตัวลงชัดเจนซึ่งปัจจัยลบที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีมากทั้งปัจจัยลบภายในประเทศและปัจจัยลบที่เกิดในต่างประเทศแต่มีผลต่อประเทศไทยทั้งในเรื่องของภาพลักษณ์ ราคานํ้ามัน และความเชื่อมั่นในการมาประเทศไทย

 

ฝ่ายวิจัย คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ประเมินว่าโดยปัจจัยนอกประเทศที่อาจจะส่งผลกระทบทางอ้อม เช่น ปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก และอาจจะมีผลกระทบค่อนข้างมากทั้งในเรื่องของการท่องเที่ยวที่มีผลต่อการเดินทางของคนในบางภูมิภาคที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางหรือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เช่น ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ส่งผลต่อการเดินทางของคนในตะวันออกกลาง และยุโรปที่ต้องงดเว้นการใช้เส้นทางการบินผ่านประเทศนั้นๆ ช่วงที่มีปัญหา หรือการดีเลย์ของเที่ยวบินในบางประเทศที่ส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นหรือความปลอดภัยในการเดินทาง รวมไปถึงถ้าปัญหารุนแรงจนอาจจะมีผลต่อราคานํ้ามันแบบที่เกิดขึ้นช่วงก่อนหน้านี้

 เมื่อราคานํ้ามันเพิ่มขึ้นย่อมมีผลต่อราคาสินค้าอุปโภค และบริโภคโดยตรงเช่นกัน ภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่สื่อออกไปในทางที่ไม่ดีในสายตาคนบางประเทศมีผลต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางมาประเทศไทยค่อนข้างมากโดยเฉพาะคนจีนที่มองว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย และพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องการทุจริตหรือการไม่ทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชการในประเทศไทย

เศรษฐกิจทรุด

เพราะในประเทศจีนเรื่องนี้สำคัญ และคนจีนเห็นความเข้มงวดเอาจริงเอาจังในประเทศของตนเองจนนำมาเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ และเกิดกระแสการไม่ยอมรับขึ้นจนสร้างค่านิยมใหม่ๆ ในการท่องเที่ยว อีกทั้งความปลอดภัยในประเทศจีนค่อนข้างสูงจึงเกิดการเปรียบเทียบค่อนข้างมาก

แม้ว่าจะยังมีคนจีนมาเข้ามาในประเทศไทยไม่น้อยในช่วง 6 เดือนแรกขอปี2568 โดยมีจำนวน 2,265,556 คนมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากมาเลเซียที่มีจำนวน 2,299,897 คน แต่คนจีนลดลงประมาณ 34% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยแน่นอน    

ปัจจัยลบภายในประเทศ การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลทำได้ช้าในช่วงที่ผ่านมา บางนโยบายใช้เงินมากจึงอาจจะเบียดบังเงินจากส่วนอื่นๆ เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ดีนักในสายตาคนทั่วไป มีความเสี่ยงในเรื่องของการผ่านนโยบายต่างๆ และปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลภายในรัฐบาลก็สร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับรัฐบาลแบบชัดเจน คดีความหรือปัญหาต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งสิ้น ดังนั้น นโยบายหรือมาตรการต่างๆ

เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจหรือด้านต่างๆ คงยังไม่มีออกมาในช่วงนี้ กำลังซื้อของคนไทยเองก็ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่หลังจากโควิด-19 แม้ว่าจะดูเหมือนว่าดีขึ้นในช่วงปี2566-2567 แต่สุดท้ายแล้วก็แบบที่เห็นได้ชัดเจนในปีนี้ว่าไม่ได้ดีขึ้นเลยกลับทรุดหนักลงด้วยซํ้าไป เพราะภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งอาจจะมาจากปัญหาการขาดรายได้ช่วงนั้น และความคาดหวังว่าจะดีขึ้นจึงสร้างภาระหนี้สินมากขึ้น แล้วไม่เป็นไปตามที่คาดคิด GDP หรือการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นเพียง 0.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)

อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ GDP ปีนี้จะมีการขยายตัวเฉลี่ยทั้งปีเพียง 1.8% เพราะปัญหาเรื่องนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง ปัญหาเรื่องของอัตราภาษีส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่อาจจะคงอยู่ที่ 36% ตามที่ได้รับมาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งเรื่องการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศไทย ถ้ามีปัญหาย่อมกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และสุดท้ายจะกระทบกับความเชื่อมั่นของคนไทย ทำให้การใช้จ่ายเงินลดลงปถึงกระทบกับการจ้างงานโดยตรงในกรณีที่มีนักลงทุนหรือกิจการ ธุรกิจต่างๆ ที่ส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกาถอนการลงทุนออกจากประเทศไทยถ้าอัตราภาษีส่งออกไปสหรัฐอเมริกาไม่ลดลง

หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,119 วันที่ 3-6 สิงหาคม พ.ศ. 2568