การเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้อานิสงส์อย่างบริษัทซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด เครือเซ็นทรัลรีเทล สร้างรายได้สูงสุดในรอบ 14 ปีเมื่อปีที่ผ่านมากว่า4หมื่นล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี โดยกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มผู้รับเหมา 30% ที่สร้างรายได้ราว 60%
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด กล่าวว่า นอกจากความสำเร็จด้านรายได้แล้ว ยังได้มุ่งเร่งแผนการขยายสาขาไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮมทุกฟอร์แมตถึง 14 สาขา ภายในปีเดียว ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีจำนวนสาขาถึง 90 แห่ง ครอบคลุม 47 จังหวัดทั่วประเทศ แต่ยังเล็งเห็นถึงโอกาสที่จะเข้าในจังหวัดใหม่ๆ ในอนาคต
ด้านการเติบโตของช่องทางการขายออนไลน์ตั้งแต่ปี 2563 - 2566 ที่ไปรับตัวจาก วิกฤตโควิด-19 ภายในระยะเวลา 4 ปี มียอดขายราว 1,400 ล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 145% ส่งผลให้เกิดลูกค้าใหม่ที่ชื้อช่องทางออนไลน์มากกว่า 5,000 คนต่อเดือน มีการซื้อซ้ำถึง 60% และซื้อเฉลี่ย (basket size) 12%
โดยที่ผ่านมมา ไทวัสดุได้นำ แนวคิด Low-Cost Business Model มาใช้ เพื่อมมอบราคาที่คุ้มค่า และคุณภาพที่เหมาะสมให้กับลูกค้า โดยมี 3 ปัจจัย ได้แก่ Adequate Staff จ้างพนักงานที่เหมาะสมกับขนาดของแต่ละพื้นที่สาขา และพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง No Fancy Decor ออกแบบร้านเรียบง่าย แต่มีประสิทธในการจัดวางสินค้า Big Volume Order ซื้อและจัดหาสินค้าที่เน้น Volume สูง เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ แต่ยังคงคุณภาพที่ดี
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา ด้านปฏิบัติการภายในองค์กร (In-House Operations) เพื่อช่วยลดต้นทุนภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านการขนส่ง (Own Transport Fleet) ที่สามารถควบคุมได้ทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ด้านการออกแบบ (Store Design) ที่มีความเข้าใจในลูดค้าแบบ insight และด้านไอที (IT Management) เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ภายในองค์กร ทำให้ลดการพึ่งพาจากหน่วยงานภายนอก ส่งผลให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาย่อมเยา
ทั้งยังเพิ่มไลน์สินค้าใหม่เพื่อพัฒนาประสบการณ์การซื้อของลูกค้า และบริการเฉพาะทางให้ตอบโจทย์เรื่องงานช่างและเรื่องบ้าน เช่น สินค้าพลังงานทางเลือก Solar World กลุ่มสินค้าโซล่าร์เซลล์ แบบครบวงจร พร้อมบริการติดตั้ง โซนเฟอร์นิเจอร์ใหม่แบรนด์ CALINA ที่มีบริการออกแบบ 3D และคำนวณงบประมาณ Bike Shop โซนจักรยานทุกรูปแบบ รวมไปถึงจักรยาน EV Consumer Electrics แผนกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า Construction Showroom เป็นเจ้าแรกในวงการที่จัดทำห้องแสดงสินค้าวัสดุก่อสร้าง เพื่อพัฒนาประสบการณ์เลือกซื้อสินค้าโครงสร้างขนาดใหญ่
รวมถึงการพัฒนาช่องทางการซื้อแบบ Omnichannel ด้วยคอนเซ็ปต์ "Phygital" คือ การเชื่อมต่อประสบการณ์ การซื้ออย่างไร้รอยต่อ คือ One Price / One Promotion ราคาและโปรโมชั่นในร้านและออนไลน์เท่ากันทุกที่ One Coupon คูปองส่วนลดสามารถนำไปใช้ได้ทุกช่องทาง One Payment System ช่องทางการชำระเงินหลานยช่องทางที่รวมไว้ในทุกแพลตฟอร์ม พร้อมคะแนนสะสม The1
สำหรับแผนการเติบโตในปี 2567 ของไทวัสดุ จะมีการขยายสาขาทั่วไทย ภายใต้แบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม ตั้งเป้าขยายทุกโมเดล ทั้ง Red Format รูปแบบมาตรฐาน, Hybrid Format (White Format) และ Blue Format ขนาดเล็ก เจาะกลุ่มรายย่อย รวมทั้งสิ้น 103 แห่ง บนพื้นที่ขายรวมกว่า 1,400,000 ตร.ม.
มากไปกว่านั้น กลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวอีก 5 ปี (2567-2571) ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดด้วยยอดขาย 70,000 ล้านบาท และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 12% สูงกว่าการเติบโตของตลาดในภาพรวม โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ
Hybrid Format (White Format) ที่รวมแบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์งานช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเพื่อบ้าน ของตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน แบบครบวงจร ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. รวบรวมสินค้ามากถึง 50,000 รายการ ซึ่งในปี 2564 ได้เปิดสาขาแรกที่ภูเก็ต ส่งผลให้ ยอดขายเพิมขึ้น 30% โดยสิ้นปี 2567 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 16 สาขา ได้แก่ ศรีสมาน, บางแสน, รังสิต คลอง4, ภูเก็ต ฉลอง, เมืองเอก, สมุทรปราการ, เชียงใหม่ สันทราย, บางใหญ่, นครอินทร์, อุดรธานี กุดสระ, พระราม 3, บางนา, บางบัวทอง, สุขาภิบาล 3, ภูเก็ต และขอนแก่น
Outperforming Online Shopping การพัฒนาเทคโนโลยีในการช็อปปิ้งช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการพัฒนาฟีเจอร์ (Feature) ที่มีเฉพาะไทวัสดุ เช่น การอัพเดตราคาเหล็กออนไลน์รายวัน สั่งซื้อได้ทันที และมีตัวช่วยในการคำนวนน้ำหนักรวมเหล็ก การเลือกซื้อสีผสมกว่า 20,000 เฉดสีได้ด้วยตัวเอง พร้อมคำนวนปริมาณสีที่ต้องใช้ในพื้นที่ที่ต้องการ และโปรแกรมช่วยคำนวนขนาดผ้าม่านสั่งตัดตาที่ต้องการ พร้อมบริการติดตั้งจาก vFIX
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายในช่องทางออนไลน์ได้กว่า 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2571
นอกจากนี้ ยังพัฒนาให้เป็นผู้นำด้านธุรกิจสีเขียวในตลาดธุรกิจก่อสร้าง ด้วยการใช้รถบรรทุก EV ในการจัดส่งสินค้า ซึ่งปัจจุบันมี 11 แต่ในปี 2567 จะเพิ่มจำนวนรถเป็น 80 คัน คิดเป็นสัดส่วน 32% ขนส่งสินค้าได้มากกว่า 700,000 พาเลท ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ถึง 7,000 ตัน และในระยะยาวจะประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงและการดูแลราว 16%
ทั้งนี้ ยังผลักดันด้วยกลยุทธ์ CRC's "ReNEW" ที่เป็นการดำเนินงาน 4 แกนหลักเพื่อการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน คือ Reduce Greenhouse Gases ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการติดตั้ง Solar Rooftop ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2566 รวม 75 สาขา ส่งผลให้ลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้ถึง 40% และในปี 2567 เร่งติดตั้งเพิ่มอีก 15 สาขา ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า 101 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 2.5 ล้านต้น Navigate Society Well-beingจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคมและชุมชน 11 โครงการครอบคลุม 9 จังหวัด เช่น การจ้างงานผู้พิการกว่า 100 คนภายในสาขา และศุนย์บริการลูกค้า Contact Center Co-Friendly Product and Packaging ส่งเสริมสินค้า Eco Product และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้ร่วมค้ากว่า 4,000 รายการ Waste Management การจัดการขยะ ผ่านแนวคิด 3Rs คือ Reduce, Reuse และ Recycle สามารถลดขยะได้ถึง 1,117 ตัน
นายสุทธิสาร ยังกล่าวเสริม ถึงมุมมองเศรษฐกิจในภาพรวม ว่า ในไตรมาสแรกยังคงหลงเหลือผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่เมื่อเริ่มไตรมาส 2 เริ่มมองเห็นโอกาสจากการที่สภาพเศรฐกิจเริ่มฟื้นตัว นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาสู่ประเทศไทย หากได้นโยบายจากรัฐที่ช่วยส่งเสริม เช่น มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ต่างๆ ดิจิทัลวอลเล็ท ในอนาคตก็จะส่งผลที่ดีขึ้น แม้ว่าไตรมาส 3 จะเป็น Low season ของธุรกิจก่อสร้างเนื่องจากเป็นฤดูฝนก็ตาม