นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงาน การตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจยอดขายรวมปี 2563 จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 17,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน) บริษัทมียอดขายเฉพาะจากโครงการแนวราบแล้ว 11,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 38-40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบในปี 2563 ที่ 12,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 14,200 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ส่วนในช่วงไตรมาส 4 บริษัทมีแผนเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 5,900 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด อีสต์ พระราม9 ติดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก บนพื้นที่ 24 ไร่ 1 งาน 52.2 ตารางวา มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 48 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 25 ล้านบาทต่อยูนิต และ 2.โครงการ เดอะ เจนทริ พัฒนาการ บนพื้นที่ 12 ไร่ 65.8 ตารางวา มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น จำนวน 34 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 29.9 ล้านบาทต่อยูนิต 3.โครงการเฮด ควอเตอร์ส วิภาวดี มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท เป็นโฮมออฟฟิศสไตล์ Modern Luxury จำนวน 6 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 15.99 ล้านบาทต่อยูนิต และ 4.โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด เวสต์เกต บนพื้นที่ 48 ไร่ 3 งาน 63.6 ตารางวา มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เป็นบ้าน 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น จำนวน 168 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 7.99-20 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า
"SC มีความแข็งแกร่งในโซนฝั่งตะวันออก และตะวันตกของกรุงเทพ ตลอดเวลามีการพัฒนาบ้านดีไซน์ใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง จนทำให้ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เราเป็นผู้นำในตลาดบ้าน 10 บาทขึ้นไป มีมาร์เก็ตแชร์สูงเป็นอันดับ 1 "
สำหรับโครงการที่เปิดพรีเซลส์ไปก่อนหน้านี้และได้รับการตอบรับที่ดี ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนสุขาภิบาล2 บนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อวงแหวน-กาญจนาภิเษก ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งสถาบันการศึกษา เช่น ใกล้ Airport Link บ้านทับช้าง , สนามบินสุวรรณภูมิ , ร.ร.นานาชาติชาร์เตอร์ , วิทยาลัยนานาชาติราฟเฟิลส์, โรบินสัน ลาดกระบัง เพียง 51 ยูนิต ราคา 25-40 ล้านบาท
ขณะ นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้ที่ผ่านมา ตลาดที่อยู่อาศัยภาพรวม จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อแผนการดำเนินธุรกิจของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า อัตราการขายในกลุ่มแนวราบของหลายบริษัท สามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย และบางรายมีการปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น จากความต้องการใหม่ๆ ของผู้บริโภคในแง่ขนาดพื้นที่บ้านและที่ดิน โดยเฉพาะในทำเลหลัก กทม. พบ ณ ครึ่งปีแรก 2563 มีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้น 59,000 หน่วย จาก 365 โครงการ มูลค่ารวม 4.8 แสนล้านบาท ส่วนอัตราการขายอยู่ที่ระดับ 58% โดยมีหน่วยเหลือขายรวม 25,000 หน่วยเท่านั้น
ทั้งนี้ ระดับราคาบ้านที่มีความน่าสนใจ จากความโดดเด่นของยอดขาย พบว่า อยู่ในกลุ่มบ้านหรูราคามากกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราขายรวมกันได้มากถึง 69% สูงกว่าค่าเฉลี่ยรวม โดย 5 ปีที่ผ่านมา มีหน่วยสะสมที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้น 6,300 หน่วย ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะมาร์เก็ตแชร์สูงสุด กระจุกตัวใน 3 บริษัทขนาดใหญ่ โดยสัดส่วน 28% เป็นของบมจ.เอสซี แอสเสท ,รองลงมา 26% บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ,และ 21% บมจ.แสนสิริ
ขณะในช่วงปี 2563 นั้น พบว่า ช่วงครึ่งปีแรก มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มราคาดังกล่าวรวม 900 หน่วย ส่วนครึ่งหลังของปี คาดจะมีการเปิดใหม่อีกประมาณ 600 หน่วย รวมทั้งปีราว 1,500 หน่วย ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่แต่ละปีมีการเปิดใหม่รวมกันประมาณ 1,200 หน่วย คาดมาจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่ และรายใหม่ขนาดกลาง เข้ามาในตลาดมากขึ้น จากความคึกคักของดีมานด์ และอีกแง่ มาจากราคาที่ดินในโซนสำคัญหลายแห่ง ปรับตัวขึ้นสูง ตามแผนเดินหน้าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายๆโครงการ ทำให้ต้องมีการพัฒนาโปรดักส์ที่มีราคาปรับขึ้นสูงตามไปด้วย
"พบผู้ประกอบการ ยังมองหาที่ดินในขนาดเหมาะสม สำหรับ ไม่เกิน 100 หน่วยต่อโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบครัวระดับบน ทั้งกลุ่มบ้านเดี่ยว หรือ ทาวน์โฮมที่เน้นขนาดของพื้นที่ คาดจะเป็นดาวเด่นของตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ "
สำหรับอัตราดูดซับในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคามากกว่า 10 ล้านบาทนั้น นายภัทรชัย กล่าวว่า มีตัวเลขกลับมาอยู่ในระดับซึ่งสูงกว่าคอนโดมิเนียมเป็นครั้งแรก ที่ประมาณ 4.8% จากปกติช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3 - 3.5% ต่อเดือน/โครงการเท่านั้น สะท้อนถึงดีมานด์ที่เติบโตดี และคาดว่าจะดีต่อเนื่องยาวไปจนถึงช่วงปี 2564
ทั้งนี้ ทำเลยอดฮิต ในกลุ่มแนวราบราคามากกว่า 10 ล้านบาท ปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ใน 4 ทำเลสำคัญ คือ พัฒนาการ ,อ่อนนุช,กรุงเทพกรีฑา และบางนา ซึ่งสามารถเดินทางเข้าไปยังกรุงเทพฯชั้นในได้สะดวก ขณะเดียวกัน ก็เดินทางเชื่อมต่อไปยังโซนตะวันออก อย่างพื้นที่สำคัญของเศรษฐกิจใหม่ อย่าง อีอีซี ได้อย่างง่ายดาย โดยพบในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินปรับตัวขึ้นสูง เฉลี่ยประมาณ 3-6 % ต่อปี