จัดการบ้านอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

10 มิ.ย. 2563 | 00:10 น.

นอกจากการตกแต่งบ้านให้มีชีวิตชีวาแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ทุกมุมสะอาด อยู่อาศัยแล้วมีความสุข ดีต่อสุขภาพจิตสุขภาพกาย ท่ามกลางความวุ่นวายจากปัจัยภายนอก รถติด ความเร่งรีบ ความเครียดจากการเดินทางของคนเมือง อีกทั้งฝุ่นพิษ เชื้อโรคที่กำลังระบาด ดังนั้น ต้องดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดภายในบ้านอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าหลายคนอาจไม่มีเวลา หรืออาจเข้าใจว่า อยู่ใน ห้องกระจก ปิดประตู เปิดแอร์แล้ว ไม่มี ฝุ่นละออง เข้าไป

แต่ฝุ่นขนาดเล็ก ไรฝุ่น ย่อมมีเกิดขึ้นได้ หาก เกิดการหมักหมม อากาศ ถ่ายเทไม่สะดวก แสง ธรรมชาติส่องไม่ถึงภายในบ้าน

อีกทั้งสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือที่นอนหมอนผ้าหุ่ม ที่สำคัญหลายบ้านมักนิยมการใช้พรม ปูภายในบ้าน ห้องนอน มุมพักผ่อน ทิ้งไว้นานหลายปี ทำความสะอาดที ต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือ ไม่ก็ละเลย เพราะ มองว่า อยู่ในห้องแอร์ ไม่น่าจะมี ฝุ่น ทะลุเข้ามา แต่ ต้องเข้าใจว่า พรมนี่แหละ แหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี ที่เรามอง
ไม่เห็น

  ขณะเดียวกันหากบ้านใคร มีสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าสุนัข แมว กระต่าย นก และอื่นๆ มองว่า สามารถเป็นพาหะพาเชื้อโรค มาถึงคุณ แม้จะบอกว่าสัตว์เลี้ยงแสนรัก ดูแลอย่างดีสะอาดแน่นอนก็ตาม

ขณะเดียวกันการรับประทานอาหาร ไม่ควรทิ้งเศษอาหารทิ้งไว้ข้ามคืน นั่นหมายถึงการล้างถ้วยชามเครื่องครัวรวมถึงการนำขยะไปทิ้งภายนอกทุกครั้ง ป้องกันหนูแมลง เข้ามากลายเป็นพาหะนำโรค

จัดการบ้านอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

สำหรับแนวทางที่ไม่ควรมองข้าม นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ แนะแนวทางการรักษาความสะอาดภายในบ้านแบบง่ายๆ ว่า ควรนำเครื่องนอนออกไปโดนแสงแดดทุก 15 วัน, เปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องเข้ามาในห้อง, ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศแอร์ ใบพัดลมและพรมทุกสัปดาห์, กรณีแพ้ขนสุนัขหรือขนแมวให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส ทำความสะอาดบ้านเรือนให้สะอาด ไม่อับชื้น ปราศจากเศษอาหาร เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม เพราะ อาจลุกลามกลายเป็น เรื่องใหญ่ที่แก้ยาก และเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 แน่นอนว่า ต้องเพิ่มความมั่นใจว่า ภายในบ้าน คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แม้จะมีเวลาพักผ่อนน้อยก็ตาม นั่นคือ คือการรักษาความสะอาดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน โดยเฉพาะในปัจจุบันที่การตกแต่งบ้านด้วยพรมเป็นที่นิยมและมีการใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อไรฝุ่นจึงเจริญเติบโตได้ดี รวมถึงการนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย

พรมเป็นที่นิยมและมีการใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เชื้อไรฝุ่นจึงเจริญเติบโตได้ดี รวมถึงการนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย แม้ปัจจุบัน มีนวัตกรรมทุ่นแรงเพื่อสุขภาพเกิดขึ้นมากในท้องตลาดหลายแบรนด์

ซึ่งสถิติสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทยพบว่า เด็กไทยกว่า 38% ผู้ใหญ่ กว่า 20% เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

หมอสุพรรณ กล่าวต่อว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากการตอบสนองของร่างกายมีความผิดปกติต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ ทำให้อวัยวะที่สัมผัสมีอาการผิดปกติ เช่น การจาม คันจมูก คันเพดานปากหรือคอ นํ้ามูกไหล ในบางรายที่มีอาการแพ้รุนแรง อาจมีอาการไอ แน่นหน้าอก หอบ หายใจขัดหรือหายใจเร็ว มีอาการคันบริเวณผิวหนัง มีผดผื่นแดงตามตัว ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น การหลีกเลี่ยงโรคภูมิแพ้ ควรเริ่มจากการรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาด

การมีสุขภาพที่ดี ต้องเริ่มที่บ้าน หากละเลยมองข้าม เท่ากับคุณทำร้ายตัวเอง !! 

หน้า 18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,581 วันที่ 7 - 10  มิถุนายน พ.ศ. 2563