อสังหาไทยผวา เงินลงทุนจีนแสนล.ชะงัก

31 ม.ค. 2563 | 08:35 น.

คอลลิเออร์ส วิเคราะห์สถานการณ์ไวรัสโคโรนา ถ้าจบเร็วไม่เกิน 1 ไตรมาสกระทบภาคท่องเที่ยว-ธุรกิจที่พัก หากลากยาวมากกว่า 2 ไตรมาสกระทบภาคอสังหาไทย กลุ่มร่วมทุนและลูกค้าที่จองซื้อที่อยู่อาศัย

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ กระทั่งทางการจีนสั่งปิดเมือง พร้อมออกคำสั่งห้ามบริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งหยุดการขายผลิตภัณฑ์ตั๋วเครื่องบินและโรงแรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวนั้น ล่าสุดองค์การอนามัยโลกประกาศให้ ไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

ค่อนข้างมีผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในปี 2563 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งทราบกันดีว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือประมาณ 10 ล้านคน ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยคือนักท่องเที่ยวจากจีน และนักลงทุนชาวจีน ก็เป็นชาติที่สนใจลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการแผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ต้องจับตาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาจะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน หากสถานการณ์สามารถควบคุมได้อย่างรวดเร็วในช่วงไม่เกิน 1 ไตรมาส ผลกระทบที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนคือภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่พัก แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อมากกว่า 2 ไตรมาสขึ้นไป แน่นอนว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์จะค่อนข้างได้รับกระทบอย่างแน่นอน”

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กลุ่มนักลงทุนชาวจีนคือกลุ่มลูกค้าที่มีการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากที่สุด  ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ทั้งสิ้น ทั้งนี้การเข้ามาลงทุนผ่านการ Joint Venture ของผู้ประกอบการจากประเทศจีน ในช่วงที่ผ่านมาที่มีมูลค่าการลงทุนร่วมกว่า 107,300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.1%  อาจเกิดการหยุดชะงัก

เนื่องจากผู้ประกอบการจีนเหล่านี้ย่อมมีกลุ่มลูกค้า ที่เป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีนส่วนหนึ่ง ที่มีการขายไปในช่วงก่อนหน้า หากบางโครงการที่มีการขายไปในช่วงก่อนหน้าแล้วมีกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงนี้อาจจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอาจมีนักทุนบางส่วนขอเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปก่อน เพื่อรอให้สถานการณ์ดีขึ้น

แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อยอดการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ประกอบการตามมา โดยเฉพาะโครงการในทำเล รัชดา – พระราม 9 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน หรือแม้กระทั่งเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ รวมถึง หัวหิน ชะอำ ที่ช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนชาวจีนเป็นจำนวนมาก

 

สำหรับการลงทุนของนักลงทุนจากต่างชาติต่ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย  แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มองเป็น 2 ส่วนคือ 1. ในส่วนของผู้ประกอบการ โดยการเข้ามาร่วมทุนผ่านทางการร่วมทุนหรือการ Joint Venture  ซึ่งพบว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา

ผู้ประกอบการต่างชาติโดยเฉพาะจากญี่ปุ่นมีการเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกกว่า 119,900 ล้านบาท โดยพบว่า กว่า 68.8% ยังคงเป็นผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น ตามมาด้วยผู้ประกอบการจาก จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ทั้งนี้ส่วนใหญ่การพัฒนายังคงเป็นตลาดที่อยู่อาศัยและยังคงกระจายตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นในโดยเฉพาะในพื้นที่ CBD และตามเมืองท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศ

หากพิจารณาจากมูลค่าการลงทุนทั้งหมดพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการ Joint Venture ระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์เกือบ 4 เท่า ซึ่ง แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย  คาดการณ์ว่า เทรนด์ของการ Joint Venture หรือการร่วมทุนของผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2563 ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าการร่วมทุนจะพุ่งสูงกว่า 120,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นและผู้ประกอบการจากจีน และยังคงเป็นตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ภายใต้ความกังวลใจในเรื่องของอุปทาน ที่ยังคงเหลือขายอีกเป็นจำนวนมากในตลาดและตลาดคอนโดมิเนียมของประเทศไทยในช่วงขาลงก็ตาม 

อสังหาไทยผวา  เงินลงทุนจีนแสนล.ชะงัก

2. กำลังซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ภาพรวมกำลังซื้อของนักลงทุนต่างชาติกับอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าไม่ร้อนแรงเหมือนช่วง 2 ปีก่อน ซึ่งแนวโน้นลูกค้าจีนเริ่มชะลอความร้อนแรงลงตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปี  2561 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีนและญี่ปุ่นยังคงให้ความสนใจลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

โดยพบว่า กำลังซื้อต่างชาติยังคงสนใจตลาดคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร วิลล่าตากอากาศในประเทศไทยทั้งในกรุงเทพมหานครและเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ หัวหิน ชะอำ เป็นต้น  แต่จะเลือกตัดสินใจซื้อเฉพาะโครงการที่ยังมองว่าพวกเขายังสามารถกำไรได้เท่านั้น