สมาคมไทยรับสร้างบ้านมั่นใจธุรกิจรับสร้างบ้านปี 61 ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศ มูลค่าตลาดประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เล็งใช้สื่อออนไลน์เข้าถึงลูกค้า
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ประเมินภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2561 คาดจะขยายตัวไปในทิศทางเดียวกับบรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ จากปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจประเทศปรับตัวดีขึ้น กลุ่มผู้บริโภคและประชาชนที่ต้องการสร้างบ้านเอง ก็เริ่มปรับตัวยอมรับและคลายความกังวลกับทิศทางเศรษฐกิจเช่นกัน สะท้อนได้จากสัดส่วนการขอสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภค เริ่มฟื้นตัวหลังจากที่ก่อนหน้านี้ซบเซามาระยะหนึ่ง ถือเป็นสัญญาณที่ดีและคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า ภายใต้เงื่อนไขธนาคารผู้ให้บริการสินเชื่อ ยังสามารถคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอาไว้ได้จนถึงปีหน้า
[caption id="attachment_247933" align="aligncenter" width="503"]
สิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน[/caption]
อีกปัจจัยมาจากยอดขายบ้านเพิ่มขึ้นช่วงท้ายปี 2560 ซึ่งการก่อสร้างและการจ้างงานส่วนใหญ่จะเริ่มลงมือในไตรมาสแรกปี 2561 ยกเว้นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่นํ้าท่วมบางจังหวัด ซึ่งกำลังซื้อผู้บริโภคและยอดขายบ้านยังไม่กระเตื้องขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีกลุ่มนักธุรกิจ ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้บริหารองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ เช่น แพทย์ วิศวกร นักวิเคราะห์การเงิน ผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป เจ้าของกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง ฯลฯ ซึ่งกลุ่มนี้นิยมสร้างบ้านด้วยเงินออมหรือเงินสดนั้น มีแนวโน้มกำลังซื้อของกลุ่มนี้จะกลับมาในปี 2561 หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ได้
สำหรับมูลค่าบ้านสร้างเองทั่วประเทศปี 2561 คาดว่ามีมูลค่ารวม 1.3-1.5 แสนล้านบาท แต่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านประเมินว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการเติบโตในแง่ของมูลค่าต่อหน่วยที่ปรับขึ้นตามต้นทุน และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้าน อย่างไรก็ตาม ตลาดรับสร้างบ้านยังมีการแข่งขันกันสูงพอสมควร ซึ่งจะกดดันมิให้ผู้ประกอบการปรับราคาได้ง่ายนัก สำหรับกลยุทธ์การแข่งขัน สมาคมฯ คาดว่าโปรโมชันลดราคา ยังถูกนำมาใช้กระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคเช่นปีที่ผ่านมา
นายสิทธิพร กล่าวว่า ปัจจุบันอิทธิพลของสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียในยุคเศรษฐกิจ 4.0 มีผลทำให้พฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการธุรกิจรับสร้างบ้านเปลี่ยนไป จากเดิมที่นิยมรับข่าวสารและค้นหาข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันหันมาค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตหรือสื่อออนไลน์มากกว่า ด้วยเพราะมีความสะดวกและสามารถหาข้อมูลของผู้ประกอบการได้ลึกและง่ายขึ้น ดังจะเห็นว่าบรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านเองก็มีปรับตัว หันมาเน้นสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ควบคู่กับการขยายสาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งนี้ก็เพื่อผู้บริโภคสามารถเข้าถึงหรือติดต่อใช้บริการได้สะดวกยิ่งขึ้น
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อออนไลน์เป็นหลัก สมาคมฯ จึงร่วมมือกับสมาชิกทั้งกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและวัสดุ วางแผนจัดอีเวนต์ออนไลน์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยเตรียมจัดงานมหกรรมบ้านฯ ออนไลน์ หรือ “บ้านและวัสดุออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจากทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ประกอบการได้สะดวกและง่ายขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจ 4.0 ในส่วนของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ไม่ว่าจะดำเนินธุรกิจอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมออกบูธงานนี้ได้ทุกราย นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยผู้ประกอบการลดค่าการตลาดลง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างกับการออกบูธงานแสดงสินค้าทั่วไป
โดยเฉพาะภาวะการแข่งขันของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านในปัจจุบัน การปรับตัวและลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการแข่งขันและลดต้นทุนลง สามารถช่วยผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายหรือจ่ายน้อยลง แต่ได้คุณภาพสินค้าเหมือนเดิม
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,329 วันที่ 7 - 10 มกราคม พ.ศ. 2561