'เจ.เอส.พี.'ลั่นพลิกโฉมธุรกิจ ราคาจับต้องได้-ทันสมัยเทียบบิ๊กเนม

22 ก.พ. 2560 | 08:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

หลังเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม ก็เดินหน้าปรับองค์กรครั้งใหญ่ พร้อมๆกับสร้างแบรนด์ "เจ.เอส.พี."ผ่านการพัฒนาโครงการในรูปแบบ เจ ซีรีส์ (J Series) มี เจ.ทาวน์- เจ.ซิตี้, เจ. คอนโด และ เจ.วิลล่า สำหรับโครงการทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ดูได้จากยอดรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2559 ที่สามารถทำได้ถึง 2,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงครึ่งแรกปี 2559 มียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้สามารถสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

  ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี 9 พันล.

นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.แอสพลัส จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับโครงสร้างองค์กรและการปรับรูปแบบการดำเนินงาน จะส่งผลให้บริษัทมียอดรับรู้รายได้ในอีก 5 ปี (ปี 2564) ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ประมาณ 20% ต่อปี

สำหรับเป้าการเติบโตในปี 2559 บริษัทคาดว่าจะยอดรับรู้รายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการเปิดขายใหม่ 700 ล้านบาท และจากโครงการเก่า 4,300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 3,509 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 1,491 ล้านบาท ในส่วนของแผนการเปิดตัวโครงการใหม่บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัดรวม 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,800 ล้านบาท

รุกแนวราบ เร่งรับรู้รายได้

เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายรายได้ที่ 9,000 ล้านบาท บริษัทได้มีการปรับลดสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูง จากเดิมมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวสูงในสัดส่วน 80% และโครงการแนวราบ 20% เป็นโครงการแนวสูง 20% และโครงการแนวราบ 80% เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ให้เร็วขึ้น ซึ่งการปรับสัดส่วนการพัฒนาสินค้าในรูปแบบนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้จากกลุ่มแนวราบในปี 2564 ที่ประมาณ 6,275 ล้านบาท และกลุ่มแนวสูงที่ประมาณ 2,725 ล้านบาท ทั้งนี้จะเป็นรายได้จากโครงการใหม่จำนวน 6,361 ล้านบาท และจากโครงการเก่า 2,639 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เนื่องจากเป็นฐานการบริโภคที่มีขนาดใหญ่ โดยแบ่งระดับราคาตามประเภทสินค้าดังนี้ บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ระดับราคา 3-5 ล้านบาท , ทาวน์เฮาส์ 2-4 ล้านบาท , คอนโดมิเนียม 1-2 ล้านบาท โดยจะมุ่งพัฒนาที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเป็นหลักในสัดส่วน 80% ต่างจังหวัด 20%

พร้อมกันนี้ยังมุ่งโครงการมิกซ์ยูส ที่มีประกอบด้วยที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย ภายใต้มาตรฐาน J ID หรือ J Intelligent Desingเครื่องหมายมาตรฐานของบ้านชาญฉลาด ซึ่งเป็นเครื่องหมายการันตีให้กับผู้อยู่อาศัยว่าเป็นบ้านที่ตอบโจทย์ความคุ้มค่าได้ 4 ด้าน ได้แก่ iFunctionพัฒนาการออกแบบ ที่ปรับทิศทางองค์ประกอบต่างๆของบ้าน ให้สามารถขยายพื้นที่ใช้สอยได้อย่างกว้างขวางเต็มประสิทธิภาพ ตามด้วย iEnergyด้านการประหยัดพลังงาน เปิดรับแสงให้เข้าถึงได้ง่ายทำให้บ้านสว่าง iSenseการออกแบบที่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยโดยการเลือกโทนสี พร้อมสุดคุ้มค่ากับด้าน iConnetการออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของลูกบ้าน โดยการออกแบบคลับเฮาส์และโคเวิร์กกิ้งสเปซ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย

  ทำเลดี ราคาเป็นมิตร

วิสัยทัศน์อีกอย่างหนึ่งก็คือ โครงการของเราจะต้องพัฒนาใรทำเลที่ดี ทุกโครงการของเราติดถนนใหญ่ แต่ราคาถูกกว่าคู่แข่งถึง 5% เนื่องจากเราสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี คือ วางแผนการพัฒนาโครงการให้สอดรับกับการสั่งสินค้า เพราะจะทำให้เราสามารถสั่งสินค้าได้ในล็อตใหญ่ ส่งผลให้เรามีอำนาจการต่อรองในด้านราคามากขึ้น รวมทั้งสร้างบ้านพร้อมอยู่ให้มากขึ้นอย่างน้อย 20-30 หลัง ทำให้รอบการโอนสั้นลง

"ลูกค้ากลุ่ม 2-5 ล้าน ต้องการฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการ หน้าตาดูโมเดิร์น ซุ้ม ป้อม ป้าย ระบบรักษาความปลอดภัยดี จึงไม่จำเป็นต้องมีแบบบ้านมากๆ แต่สินค้าของเราฟังก์ชั่นดี แบบบ้านทันสมัย ไม่แพ้บริษัทใหญ่ๆ แบบบ้านและซุ้ม ป้อม ป้ายของเราจะออกแบบให้ลูกค้ารู้สึกเสมือนว่าซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทไม่ใช่ 3 ล้านบาท ถ้าเปรียบกับแบรนด์แฟชั่นผมอยากให้ เจ.เอส.พี.เหมือนยูนิโคล่ เป็นแบรนด์ที่ครบทั้งฟังก์ชัน ดูดี ทันสมัย และราคาเป็นมิตร หาซื้อได้ทุกที่"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,237 วันที่ 19 - 22 กุมภาพันธ์ 2560