ตลาดบริหารจัดการอาคารพุ่ง 4 หมื่นล. LPP วางรายได้ 3 ปี เข้าตลาดหุ้นไทย

04 เม.ย. 2565 | 07:07 น.

LPP กลุ่มบริษัท บมจ.แอล.พี.เอ็น. เผย ตลาดนิติบุคคล บริหารจัดการอาคาร ปี 2565 มูลค่าทะลุ 4 หมื่นล้านบาท เปิดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) รายได้ทะลุ 2,300 ล้านบาท เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2567

4 เมษายน2565 - นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์  ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5  ปี ของบริษัทว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ ในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (Property & Facility Management Service Provider)  ตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2,300 ล้านบาท ในปี 2569  โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 2564  ถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200%  คิดเป็นเติบโตเฉลี่ยปีละ 22%   ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ย  10 กว่า % ในแต่ละปี     

 

ตลาดบริหารจัดการอาคารโตแรง พุ่ง 4 หมื่นล้าน

จากผลการศึกษาของบริษัท พบว่าตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศ จะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทในปี 2565  รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง   ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานและอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 300,000 - 400,000 ล้านบาทต่อปี  ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย     

 

ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก้าวเข้าสู่ New S-Curve จึงเป็นโอกาสของ LPP  ในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจการบริหารจัดการอาคารมาถึง 30 ปี  จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้  โดยการเติบโตนี้จะมาจากการรุกและขยายตลาด การขยายธุรกิจและขอบเขตการให้บริการที่ครบวงจร     พร้อมทั้งสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค  ทั้งงานด้านวิศวกรรม  งานซ่อมบำรุงอาคาร   บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการวางโครงสร้างบริหารโครงการในรูปแบบของ Franchise เป็นต้น  

ในส่วนงานระบบรักษาความปลอดภัยนั้น LPP ได้เปิด บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS)    ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพนอกเหนือจากการใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย 

 

“เราจัดสัดส่วนโครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่ จากที่เคยมุ่งเน้นบริหารโครงการให้กับ LPN เป็นหลัก   ก็จะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน  โดยขยายจากสัดส่วนเดิมที่ 28% เป็น 45%     

ตลาดบริหารจัดการอาคารพุ่ง 4 หมื่นล. LPP วางรายได้ 3 ปี เข้าตลาดหุ้นไทย

นอกจากนี้  บริษัทจะมุ่งเน้นขยายสัดส่วนรายได้จากงานบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานบริหารโครงการ   รวมถึงการขยายธุรกิจใหม่ๆ  อาทิ งานวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร งานบริการด้านระบบรักษาปลอดภัย การบริการทำความสะอาด บริการงานสวน  บริการกำจัดแมลง และอื่นๆ   ให้เติบโตจากสัดส่วนเดิมที่  30% เป็น  50% ในปี 2569”  นายสุรวุฒิกล่าว ทั้งนี้ LPP มุ่งขยายฐานจากการบริหารโครงการพักอาศัยเป็นหลัก ไปสู่การบริหารอาคารในเชิงพาณิชย์ทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า ศูนย์การค้า หน่วยงานราชการ  โรงพยาบาล และอื่นๆ  ให้มากขึ้นอีกด้วย   

 

ปี 2567 เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

ทั้งนี้  เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา  บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้มีมติให้ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด มีการบริหารงานที่เป็นอิสระ โดยยังคงฐานะเป็นบริษัทในกลุ่ม แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์  แต่สามารถกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีอิสระ  


โครงสร้างทางการเงินของกลุ่มธุรกิจบริการของ LPN เป็นธุรกิจบริการที่ไม่ต้องมีสินทรัพย์จึงไม่มีหนี้สิน ส่งผลให้มีความสามารถในการขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนเพิ่ม และการขยายธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ การร่วมทุน การควบรวมกิจการ ฯลฯ  

 

บริษัท LPN เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว   จึงปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจโดยการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ LPP ให้ครอบคลุมทุกงานบริการ  และวางแผนส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ     โดยคาดว่า  เมื่อ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท ในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ซึ่งจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ LPN  โดยคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ LPN เพิ่มขึ้นจากประมาณ 7,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 เป็นประมาณ 10,000 ล้านบาท