17 ก.พ.2565 - เศรษฐกิจไทย ปี 2565 ที่ตกอยู่ในความเปราะบางรอบด้าน ขณะมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ยังไม่เกิดภาพชัดเจน สำหรับในภาคธุรกิจนั้น คือ ความเสี่ยง ล่าสุด นายนายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ ภาคธุรกิจยังคงจับตาดูถึง ทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 2565 โดยประเมินการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จะมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
แนะอุ้มธุรกิจ - อัดฉีดสภาพคล่องผู้ประกอบการฟื้นเศรษฐกิจไทย
ซึ่งเบื้องต้น ในข้อแรก เริ่มมีเค้าโครง การบริหารจัดการโรคที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ในด้านนโยบายเพื่อสนับสนุนฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น ยังไม่เห็นภาพชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเร่งวางแผน โดยเฉพาะ การนำมาตรการทางเงิน เข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ และ มาตรการด้านการท่องเที่ยว เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวของไทย ผลักดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของ จีดีพี ถึง 20% มีการจ้างงานมหาศาล และ หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลจะช่วยภาคการท่องเที่ยวได้อย่างเร่งด่วน ในเชิงนโยบาย คือ การสนับสนุนมาตรการทางการเงิน หลังจากขณะนี้ มีการมุ่งเน้นในเชิงมาตรการทางการคลัง เช่น โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้เงินสูง แต่กลับเป็นการอัดฉีดเงินที่ปลายทางผู้บริโภคเป็นหลัก จนทำให้รัฐบาลต้องแบกภาระหนี้เกินเกณฑ์
สำหรับในปี 2565 อยากเห็นการสนับสนุนมาตรการใหม่ๆ ที่เข้ามาสู่กลุ่มผู้ประกอบการ ธุรกิจขนาดกลาง - ขนาดเล็ก เพื่อให้บริษัทเหล่านั้น ฟื้นตัวและไปต่อไป และจะนำไปสู่การจ้างงาน จับจ่ายใช้สอยในระบบ อย่างยั่งยืนต่อไป เฉกเช่นเดียวกับ ในประเทศญี่ปุ่น และ ยุโรป ที่มักนำมาตรการทางการเงิน เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผ่านธนาคาร ในรูปแบบดอกเบี้ยต่ำ มาใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน รัฐยังได้รับผลตอบแทนกลับมาอีกด้วย ต่างจากมาตรการทางการคลัง ที่ใช้จ่ายปลายทาง ใช้แล้วจบ และการช่วยหนุนสภาพคล่องของธุรกิจนั้น สร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจได้มากกว่า
" ที่ผ่านมา รัฐอาจมีการออกมาตรการทางการเงินออกมาบ้าง แต่น้อยเกินไป เม็ดเงินจะต้องใหญ่พอสมควรถึงจะฟื้นเศรษฐกิจได้ เช่น 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เห็นผลชัดเจน โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องแบกหนี้ต่อ ญี่ปุ่น ,ยุโรป มักใช้วิธีการนี้ เข้าไปกระตุ้นธุรกิจรายย่อย พอฟื้นตัว ชำระหนี้ได้ ก็มีการขยายธุรกิจ จ้างงานต่อ "
เพอร์เฟค เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 2.6หมื่นล้าน
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2565 นั้น นายศานิต ระบุ ว่า กลุ่มบริษัทยังเดินหน้าสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้มีการเติบโต มั่นใจว่าปีนี้ธุรกิจของกลุ่มบริษัททั้งอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโต โดยประมาณการรายได้รวมปีนี้อยู่ที่ 28,300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 12,000 ล้านบาท แกรนด์ แอสเสทฯ 2,800 ล้านบาท รายได้จากการขายที่ดินและสิทธิการเช่า ขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ 8,500 ล้านบาท และรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5,000 ล้านบาท
“ปีนี้ กลุ่มบริษัทจะเน้นการจัดการโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง โดยมีเป้าหมายที่จะลดภาระหนี้ลงอีก หลังจากที่สามารถลดระดับหนี้สินสุทธิต่อทุนมาอย่างต่อเนื่อง จาก 2.1 ในปี 2563 เหลือ 1.7 ในปี 2564 และตั้งเป้าให้อยู่ที่ 1.2 ในปีนี้ สำหรับรายได้ของปีนี้จะเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา กลยุทธ์สำคัญคือการเติบโตของรายได้จากการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่ ฮ่องกงแลนด์, ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทำรายได้รวมถึง 5,000 ล้านบาท และยังมีการร่วมทุนในธุรกิจถุงมือยาง ที่จะสร้างรายได้อีก 2,152 ล้านบาท บวกกับการขายที่ดินและจัดตั้งกองทรัสต์ จะทำให้กลุ่มบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น”
ทั้งนี้ เพอร์เฟค เล็งเปิด 15 โครงการใหม่ 26,210 ล้าน พร้อมรีเฟรชแบรนด์บ้านเดี่ยว เพิ่มแนวทางรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง โดยโครงการเปิดใหม่ที่ถือเป็นไฮไลท์ในปีนี้ ได้แก่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” ซึ่งร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ มูลค่าโครงการ 6,275 ล้านบาท ด้วยคอนเซ็ปท์บ้านบนเนินติดทะเลสาบ พร้อมการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ จับเซ็กเมนต์ใหม่ในกลุ่มตลาดบน ในทำเลพหลโยธิน สุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ และ รัตนาธิเบศร์ และ โครงการวิลล่าในจังหวะระยอง 600 ล้านบาท
แกรนด์ แอสเสท ลุ้นธุรกิจโรงแรมฟื้น - ถุงมือยาง หนุนรายได้
ขณะบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือนั้น ปีนี้ คาดจะมีการฟื้นตัวและเติบโตอย่างชัดเจน ทั้งธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากมาตรการเปิดประเทศ ส่วนรายได้ปีนี้ จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าไว้ 5,500 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,000 ล้านบาท (คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนท์) ธุรกิจโรงแรม 1,800 ล้านบาท และจากโครงการร่วมทุน 2,700 ล้านบาท รายได้หลักจะมาจาก “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” โครงการร่วมทุนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งมียอดขายรอรับรู้รายได้อยู่แล้ว 2,017 ล้านบาท
ส่วน ธุรกิจผลิตถุงมือยาง ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 โดยติดตั้งเครื่องจักร 1 และ 2 พร้อมเดินเครื่องและบันทึกรายได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดว่าปีนี้จะมีรายได้ 2,152 ล้านบาท บริษัทยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และกำลังทยอยติดตั้งสายการผลิตอื่นๆ ต่อไปให้ครบ ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้จากทั้ง 16 สายการผลิตภายในปีนี้