บริษัทในกลุ่ม ปตท.ได้ดำเนินการร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรม โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนา The Annual Petroleum Outlook Forum จัดภายใต้แนวคิด “Change for Chance: ปรับ เปลี่ยน เพื่อไปต่อ สู่ยุคพลังงานแห่งอนาคต”
ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอบทวิเคราะห์และแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมัน สถานการณ์พลังงาน และความท้าทายที่กระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก โดยทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน หรือ PRISM Experts ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12
ราคาน้ำมันปี 67 อยู่ที่ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นประธานเปิดงานสัมมนา โดยระบุว่า ตลอดเวลา 45 ปี ปตท.มุ่งมั่นรักษาความมั่นคงด้านพลังงานพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและขยายสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์โลกและเตรียมรับมือกับความท้าทายทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันปี 2567 มีทิศทางเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ กำลังซื้อในสหรัฐอ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป และการใช้น้ำมันในภาคการบินของจีนที่เพิ่มขึ้นหลังเปิดประเทศ ขณะเดียวกันอุปสงค์น้ำมันยังคงเติบโตในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งการนำเข้าพลังงานฟอสซิล
อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศที่มีความพร้อมเทคโนโลยีและกฎหมายรองรับ มีส่วนทำให้อุปทานน้ำมันเติบโตอย่างจำกัด โดยคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันปี 2567 จะเติบโตเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปี 2567 อยู่ที่ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ปตท.ได้ร่วมผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์ มุ่งบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2050 เร็วกว่าเป้าหมายประเทศถือเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ควบคู่การรักษาความมั่นคงพลังงาน
รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
จับตาภูมิรัฐศาสตร์-เศรษฐกิจโลก
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท. กล่าวว่า แม้โควิด-19 คลี่คลาย แต่โลกต้องเผชิญความท้าทายมากทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างรัสเซียและยูเครน สหรัฐกับจีน สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางต่างๆ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ รวมทั้งวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดสภาพคล่องในจีนจากการที่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงโดยสร้างกฎระเบียบให้เข้มงวดขึ้น และนโยบาย Net Zero ของประเทศต่างๆ
สำหรับการเดินหน้าสู่ยุคพลังงานแห่งอนาคตให้มีความยั่งยืนด้านพลังงานจะสร้างสมดุลระหว่างความท้าทายด้านพลังงาน 3 ด้าน ได้แก่
1.ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) การจัดหาพลังงานพื้นฐานและความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการปัจจุบันและอนาคต
2.ความเป็นธรรมทางพลังงาน (Energy Equity) การจัดหาพลังงานที่เข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม
3.ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) เป็นการจัดหาพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ต่ำ
ความท้าทายแผนพลังงานงานชาติ
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แผนพลังงานชาติถือเป็นความท้าทาย ความเข้มข้นเวที COP28 จะเข้มข้นขึ้น จากอดีตจะเน้นความมั่นคงพลังงาน แต่วันนี้จะต้องเปลี่ยนผ่านเพราะถูกบังคับหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นจึงต้องปรับสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ถึง 50% จากปัจจุบันมีเพียง 14% แต่ในความท้าทายความเปลี่ยนแปลงจะเป็นโอกาส โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ไทยกลายเป็นผู้ผลิต ส่วนมาตรการการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) จะทำให้ไทยปรับตัวและเกิดธุรกิจใหม่ อาทิ ไฮโดรเจน แบตเตอรี่ รวมถึงเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (CCS)
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากสุด ทั้งความท้าทายด้านดิจิทัล ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป เด็กเกิดใหม่น้อยกว่ายอดเสียชีวิต จึงต้องเปลี่ยนจากการใช้แรงงานสู่โรโบติกส์ที่ต้องบาลานซ์ด้านสิ่งแวดล้อมเตรียมพร้อมสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายสมชาย มีเสน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โลกร้อนเกิดจากนายทุนและภาครัฐ ประชาชนฐานรากส่วนใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และไม่สนใจว่าประเทศจะก้าวไปสู่โรงไฟฟ้าสะอาดหรือไม่ สนใจแต่ว่าค่าไฟฟ้าต้องไม่เกิน 3.99 บาท ดังนั้น หากปล่อยให้ราคาเสรีเลยรัฐบาลจะไม่ได้เสียงจากฐานราก ดังนั้น ภาครัฐและเอกชนต้องเอาจริงเอาจังด้านนโยบายและการมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน