ชป. ลุยปรับปรุงชลประทานขนาดกลาง เสริมศักยภาพบริหารจัดการน้ำเมืองน่าน

12 เม.ย. 2566 | 01:00 น.

กรมชลประทาน จัดทำรายงานแผนหลักการบริหารจัดการน้ำ และรายงานการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ บรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำ รวมถึงสภาพแวดล้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้เพาะปลูก

จังหวัดน่าน มีสภาพภูมิศาสตร์เหมาะสมต่อการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง รวมถึงปศุสัตว์ โดยปัจจุบันมีการรวมกลุ่มเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่่เข้มแข็ง เช่น กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มเกษตรแปรรูป กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในขณะที่ภาคการเกษตรยังมีข้อจำกัด เช่น แหล่งน้ำที่เป็นโครงการชลประทานขนาดกลางในเขตจังหวัดน่าน ซึ่งได้ก่อสร้างและใช้งานมายาวนาน ส่งผลให้บางแห่งชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แม้ว่าจะมีการบำรุงรักษามาอย่างต่อเนื่องก็ตาม ประกอบกับความต้องการน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภค-บริโภค และภาคส่วนอื่นๆที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ทำให้อาคารชลประทานเดิมไม่สามารถรองรับและแก้ไขปัญหาได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงต้องมีการศึกษาความเหมาะสมเพื่อปรับปรุงระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
 


กรมชลประทาน จึงได้ศึกษาจัดทำรายงานแผนหลักการบริหารจัดการน้ำ และรายงานการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการบรรเทาปัญหาด้านทรัพยากรน้ำที่สอดคล้องความต้องการชุมชน สภาพการใช้ที่ดินปัจจุบันและอนาคต รวมถึงสภาพแวดล้อมและยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำไว้ใช้เพาะปลูก

นอกจากนี้ จะประเมินประสิทธิภาพและศึกษาความเหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำ แก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยให้สอดคล้องสภาพสังคม การใช้ที่ดิน การเพาะปลูก และกิจกรรมการใช้น้ำต่างๆด้วย

สำหรับขอบเขตพื้นที่ศึกษาของโครงการครอบคลุมพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ พื้นที่ลุ่มน้ำ พื้นที่อ่างเก็บน้ำ พื้นที่ชลประทาน และพื้นที่อื่นที่มีขอบเขตพื้นที่อยู่ในลุ่มน้ำน่านและลุ่มน้ำยม รวมไปถึงพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย

นอกจากนี้ ยังได้มีการประเมินและศึกษาความเหมาะสม ด้วยการเสนอทางเลือก ได้แก่ ประเภทการพัฒนาที่เหมาะสม การสรุปข้อดีข้อเสียแต่ละทางเลือก และเหตุผลประกอบการตัดสินใจเลือกทั้งทางด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงความสอดคล้องวัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนาโครงการ 
 

การศึกษาครั้งนี้ ยังได้ระบุทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะดำเนินโครงการพร้อมแสดงเหตุผลและความจำเป็น และเมื่อได้ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว จะต้องศึกษาให้ครอบคลุม ทั้งที่ตั้งอาคารชลประทานที่เหมาะสม ปริมาณน้ำเก็บกัก การพัฒนาระบบไฟฟ้าพลังน้ำ แหล่งวัสดุก่อสร้าง ผลกระทบด้านแผ่นดินไหวต่อโครงการฯ พื้นที่ชลประทาน และระบบระบายน้ำ
ขณะที่การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาโครงการ กำหนดให้ศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมและคุณค่าต่างๆ หลายด้าน อาทิ ด้านกายภาพ ด้านชีวภาพ ด้านคุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และด้านคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต โดยจะประกอบไปด้วยการศึกษาสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ 
 


ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการ ตามแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนและแนวทางการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ที่มีระยะเวลาในการศึกษารวม 450 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.2566 และมีกำหนดครบกำหนดสัญญาวันที่ 2 เม.ย.2567 เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตอบโจทย์ความต้องการการใช้น้ำของประชาชนได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์  สามารถบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งได้อย่างแท้จริง