การดูดไขมัน คืออะไร?
การดูดไขมัน (Liposuction) คือศัลยกรรมเพื่อความสวยความงามรูปแบบหนึ่ง ที่จะทำโดยการดูดไขมันสะสมบริเวณใต้ผิวหนังออกมา มีจุดประสงค์ในการปรับรูปร่างให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายดูเล็กลง หรือได้รูปทรงที่สวยงามมากขึ้น
จะเลือกสถานที่ที่ดูดไขมัน ควรดูอะไรบ้าง
ดูดไขมันที่ไหนดี? การเลือกสถานพยาบาลเพื่อดูดไขมันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงเกิดอันตรายสูงมาก หากดูดไขมันกับสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็จะเป็นอันตรายกับผู้เข้ารับการรักษา
ข้อควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจเลือกดูดไขมันที่ไหนดี มีดังนี้
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์ - ในอดีตการดูดไขมันเคยเป็นการศัลยกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นแพทย์ที่ให้บริการ จะต้องมีทักษะและประสบการณ์สูง
- ความพร้อมของเครื่องมือแพทย์ - เครื่องมือที่ใช้ในการดูดไขมันจะต้องได้มาตรฐาน ปลอดภัย และนำเข้ามาอย่างถูกต้อง
- ความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล - ปัจจุบันมีสถานเสริมความงามที่ไม่ได้มาตรฐานมากขึ้น จึงควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาลต่างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจดูดไขมัน
- วิสัญญีแพทย์ - สถานพยาบาลบางแห่งเลือกที่จะไม่จ้างวิสัญญีแพทย์เพื่อลดต้นทุน แต่การวางยาสลบโดยที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นอันตรายอย่างมาก อาจมีความเสี่ยงถึงชีวิตได้เลย
- บริการหลังการศัลยกรรมดูดไขมัน - หลังจากดูดไขมันส่วนใหญ่จะมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ดังนั้นสถานพยาบาลควรมีบริการดูแลผิวให้กระชับ
ดูดไขมันมีข้อดีและข้อจำกัดอย่างไร
“การดูดไขมันทำให้รูปร่างดีขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้น้ำหนักลดลง เนื่องจากไขมันมีมวลน้อยเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อ”
ข้อดีของการดูดไขมัน
- ปรับสัดส่วนให้กระชับ ได้รูปสวย โดยใช้เวลาไม่นาน
- ทำให้มั่นใจในรูปร่างของตนเองมากขึ้น แต่งตัวได้สนุกขึ้น
- แผลจากการดูดไขมันมีขนาดเล็ก ไม่เป็นแผลเป็นนูน และสามารถซ่อนแผลไว้ในบริเวณที่เห็นไม่ชัดได้
- หากดูดไขมันด้วยเครื่องดูดไขมันพลังน้ำ Body-jet สามารถนำไขมันที่ดูดออกมา ฉีดเข้าที่จุดอื่นที่ต้องการเพิ่มขนาดได้ เช่นบริเวณสะโพก ก้น หรือหน้าอก
ข้อจำกัดของการดูดไขมัน
- สามารถดูดไขมันได้เพียงไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น ไม่สามารถดูดไขมันที่อยู่ในช่องท้องได้
- การดูดไขมันส่วนใหญ่ไม่ได้ทำให้น้ำหนักลดลง
- ไม่สามารถแก้ไขผิวส้มจากเซลลูไลท์ได้
- ผลข้างเคียงจากการดูดไขมันที่พบบ่อยคืออาการเจ็บ บวม ช้ำ และผิวหย่อนคล้อย
- หลังทำอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบ จากปัญหาการดูดไขมันไม่สม่ำเสมอ มีน้ำสะสมใต้ผิวหนัง เกิดพังผืด หรือห้อเลือด
ที่เหมาะและไม่เหมาะสำหรับการดูดไขมัน
การดูดไขมันเหมาะกับคนบางกลุ่มเท่านั้น เนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านสุขภาพอยู่บ้าง โดยผู้ที่เหมาะและไม่เหมาะกับการดูดไขมัน มีดังนี้
ผู้ที่เหมาะกับการดูดไขมัน
- กังวลเรื่องรูปร่างของตนเอง ทั้งปัญหาไขมันส่วนเกิน สัดส่วนไม่ดี หรือไขมันสะสมในแต่ละจุดไม่เท่ากัน
- ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้วรูปร่างไม่ดีขึ้นเลย หรือเห็นผลน้อย
- ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือไม่สามารถควบคุมอาหารได้ แต่อยากมีรูปร่างดีขึ้น
- อยากให้รูปร่างได้สัดส่วนในเวลาอันสั้น
- อยากปรับรูปร่างให้ดูดี ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมัน
- ผู้ที่กำลังเป็นโรคบางอย่าง ที่อาจมีความเสี่ยงสูงหากดูดไขมันเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
- ผู้ที่กำลังใช้ยาบางตัวที่ส่งผลกับการดูดไขมัน เช่น ยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
- ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก การดูดไขมันอาจทำให้ผิวหนังหย่อนมากกว่าเดิมได้ จึงอาจจะต้องรักษาผิวหนังหย่อนคล้อยด้วยวิธีการต่างๆ ก่อน เช่นการผ่าตัดหนังออก หรือใช้เครื่องยกกระชับผิว
จุดใดบ้างที่ดูดไขมันได้
ดูดไขมันจุดไหนได้บ้าง? การดูดไขมันจะสามารถดูดไขมันได้เพียงไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังเท่านั้น ส่วนผิวหนังที่อยู่ในชั้นอื่นๆ อย่างไขมันในช่องท้อง จะไม่สามารถดูดออกได้
ส่วนไขมันใต้ผิวหนังในร่างกายจุดต่างๆ ที่สามารถดูดไขมันออกได้ มีดังนี้
- ดูดไขมันนมน้อย - ลดไขมันส่วนเกินบริเวณข้างรักแร้ติดกับหน้าอก
- ดูดไขมันเหนียง - ลดเหนียงใต้คาง ปรับกรอบหน้าให้สวยขึ้น
- ดูดไขมันต้นแขน - ปรับเรียวแขนให้สวย แก้ปัญหาต้นแขนใหญ่หนา
- ดูดไขมันเอวเอส - นำไขมันรอบเอวออก พร้อมแต่งทรงรูปเอวให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน
- ดูดไขมันแผ่นหลัง - ไขมันน้อย และอาจจะเจ็บมากกว่าจุดอื่นๆ แพทย์แนะนำให้ใช้การวางยาสลบ
- ดูดไขมันหน้าท้อง - ปรับหน้าท้องให้แบนราบ (คนที่มีไขมันในช่องท้องเยอะ อาจได้ผลลัพธ์น้อยกว่า)
- ดูดไขมันต้นขา - ต้องดูดไขมันรอบๆ ขาออก และการดูดไขมันขาสามารถทำให้ก้นสวยขึ้นได้ด้วย
- ดูดไขมันน่อง - แก้ไขปัญหาน่องปูดที่เกิดจากไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ช่วยให้ขาเรียวขึ้น
- ดูดไขมันทั้งตัว - แพทย์อาจแนะนำให้แบ่งดูดไขมันมากกว่า 1 ครั้ง
ดูดไขมันข้อเท้า - ถึงเป็นจุดที่เล็ก แต่หากมีไขมันอยู่รอบๆ ก็อาจทำให้ข้อเท้าดูตัน เมื่อใส่รองเท้า เท้าจะไม่เรียวสวย
Tumescent คืออะไร
Tumescent คือสารที่ประกอบไปด้วยน้ำเกลือ ยาชา และยาตัวอื่นๆที่มีผลทำให้เส้นเลือดหดตัว แพทย์จะฉีดสารดังกล่าวเข้าที่ใต้ผิวหนัง Tumescent จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาทลอยอยู่ในน้ำใต้ผิวหนัง ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการฉีดไขมัน อย่างเลือดออก หรือไขมันแตกตัวเข้าไปอุดตันเส้นเลือดขณะดูดไขมันได้ และยังช่วยระงับความเจ็บปวดระหว่างดูดไขมันได้ด้วย
ก่อนดูดไขมันเตรียมตัวอย่างไร
- การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันทั่วไป
- งดยาและอาหารเสริมก่อนการดูดไขมัน 2 สัปดาห์ หากมียาที่ทานประจำควรแจ้งแพทย์ที่ดูดไขมันด้วย และหากต้องงดยาบางตัว ควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาโรคประจำตัวก่อน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และงดสูบบุหรี่ก่อนการดูดไขมัน 2 สัปดาห์
- คืนก่อนวันดูดไขมัน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารก่อนการดูดไขมัน งดการดื่มชา กาแฟ หรือดื่มน้ำมากเกินไป เพื่อไม่ให้ปวดปัสสาวะขณะดูดไขมัน
- ควรสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหลวมมาที่สถานพยาบาล
- ไม่ควรขับรถมาเองคนเดียว ควรให้ผู้ติดตามมาช่วยดูแล และช่วยขับรถให้
- การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันที่ต้องวางยาสลบ - ในเบื้องต้นการเตรียมตัวจะเหมือนกับการเตรียมตัวก่อนดูดไขมันทั่วไป แต่มีข้อควรระวังที่เพิ่มเติมมา ดังนี้
ขั้นตอนดูดไขมัน
ขั้นตอนการดูดไขมัน มีขั้นตอนหลัก 3 ขั้นตอนด้วยกัน ได้แก่
- งดอาหาร และเครื่องดื่มทุกชนิดรวมถึงน้ำเปล่า ก่อนการดูดไขมันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เกิดการสำลักขณะสลบอยู่
- ไม่ควรแต่งหน้า หรือทาเล็บมาในวันที่ดูดไขมัน เนื่องจากใบหน้าและเล็บเป็นจุดที่วิสัญญีแพทย์ใช้สังเกตอาการขาดออกซิเจน
- ห้ามสวมเครื่องประดับ และฟันปลอมในวันที่ดูดไขมัน หากมีฟันโยกควรแจ้งแพทย์ด้วย
- ฉีด Tumescent เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง - เป็นขั้นตอนที่จะทำให้แพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงที่เส้นเลือดและเส้นประสาทจะเสียหาย
- แยกไขมันออกจากเนื้อเยื่ออื่น - ขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันไปตามวิธีดูดไขมันที่แพทย์เลือก เป็นการตีไขมันให้แยกออกจากกัน หรือสลายไขมันเพื่อให้ดูดออกง่าย
- ดูดไขมัน - ดูดไขมันออกจากร่างกายมาเก็บในถังเก็บไขมัน
หลังดูดไขมันดูแลตนเองอย่างไร
วิธีดูแลแผลผ่าตัดหลังดูดไขมัน
ช่วง 7 วันแรกไม่ควรให้แผลถูกน้ำ ต้องทำความสะอาดแผลทุกวัน และซับแผลให้แห้งทุกครั้งไปจนกว่าจะตัดไหม หากขั้นตอนนี้ผู้เข้ารับการรักษาไม่สามารถทำเองได้ สามารถมาที่คลินิกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำแผลให้ได้
เลเซอร์ลดรอยดำและรอยแดง
แผลจากการดูดไขมันมีขนาดเล็ก แต่เครื่องดูดไขมันอาจทิ้งรอยแผลเป็น ที่เป็นรอยดำรอยแดงขนาดเล็กไว้ ผู้ที่ต้องการรักษารอยแผลเป็นดังกล่าวสามารถมาเลเซอร์เพื่อรักษาได้
การทานอาหารและน้ำ
แพทย์แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการอักเสบ บวมช้ำ และขับยาชาให้ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น โดยควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ในช่วง 1 เดือนแรกหลังการดูดไขมัน และควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ส่วนการทานอาหาร แพทย์แนะนำให้ทานแต่อาหารปรุงสุก สดใหม่ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทั้ง 3 มื้อ เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูตนเองได้ดีมากขึ้น ควรเน้นทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช งดอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ อาหารทะเล และอาหารหมักดอง
หลังจากรูปร่างเข้าที่แล้วก็ควรลดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และอาหารไขมันสูง เพื่อรักษาให้รูปร่างหลังดูดไขมัน คงอยู่กับผู้เข้ารับการรักษาไปนานๆ
สวมชุดกระชับ
การสวมชุดกระชับหลังจากดูดไขมันเป็นเรื่องสำคัญมาก เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย หรือเป็นคลื่นได้น้อยลง สัดส่วนเข้าที่ไว ส่งผลให้ผลการรักษาดีขึ้นอย่างมาก โดยหลังดูดไขมัน ควรใส่ชุดกระชับอย่างน้อย 22 - 24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 7 - 14 วัน
การออกกำลังกาย
หลังการดูดไขมันควรควบคุมอาหารและออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมไขมันซ้ำ ควรเริ่มออกกำลังกายเบาๆ หลังจากการดูดไขมันประมาณ 2 สัปดาห์ เมื่อร่างกายดีขึ้นแล้วจึงเริ่มออกกำลังกายตามปกติได้
สรุปเรื่องดูดไขมัน
การดูดไขมันเป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่ง สามารถกระชับสัดส่วน ช่วยลดปริมาณไขมันในแต่ละจุด ให้ผู้เข้ารับการรักษามีรูปร่างที่ดีมากขึ้น แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การดูดไขมันก็มีผลข้างเคียงที่อันตรายเช่นกันหากไม่ได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญจริง ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกดูดไขมันกับสถานพยาบาลต่างๆ ควรพิจารณาให้ดีก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายทั้งหลังทำทันทีและในระยะยาว