กกต.สรุปส่งแคนดิเดตนายกฯ 32 พรรค 68 คน สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ 52 พรรค

28 ธ.ค. 2568 | 07:30 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ธ.ค. 2568 | 08:15 น.

กกต.สรุปวันแรก สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 52 พรรค ยื่นเอกสารครบ ส่งแคนดิเดตนายกฯ 32 พรรค รวม 68 คน ย้ำพรรคการเมืองรณรงค์ประชามติได้–ชี้นำได้แต่ต้องไม่เท็จ ไม่ใส่ร้าย

KEY

POINTS

  • กกต. สรุปยอดวันแรก มีพรรคการเมืองเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 32 พรรค รวม 68 รายชื่อ
  • มีพรรคการเมืองยื่นสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ 52 พรรค ซึ่งได้จับสลากหมายเลขสำหรับใช้ในการหาเสียงเรียบร้อยแล้ว
  • พรรคการเมืองทั้ง 52 พรรค ได้ยื่นนโยบายหาเสียงต่อ กกต. ครบถ้วนแล้ว และจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนโยบายดังกล่าว

วันนี้ (28 ธ.ค. 68) นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงสรุปภาพรวมการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองในวันแรก โดยระบุว่า การดำเนินงานในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นระบบ และมีความร่วมมือจากพรรคการเมือง ผู้สนับสนุน ตลอดจนสื่อมวลชนที่เข้าร่วมทำข่าวในพื้นที่

ในช่วงเช้าก่อนเวลา 08.30 น. มีพรรคการเมืองเดินทางมายื่นใบสมัคร รวม 52 พรรค เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเอกสารและข้อมูลประกอบอย่างครบถ้วนทุกพรรค ก่อนดำเนินการจับสลากลำดับหมายเลขสำหรับใช้ในการหาเสียงต่อไป

ส่วนการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค พบว่า ในวันแรกมีพรรคการเมืองยื่นเสนอ รวม 32 พรรค จำนวน 68 รายชื่อ อย่างไรก็ตาม พรรคที่ยังไม่ได้เสนอชื่อยังสามารถยื่นได้จนถึงวันปิดรับสมัครในวันที่ 31 ธันวาคม 2568

ด้านนโยบายหาเสียงที่ส่งมายังกกต. ขณะนี้ 52 พรรคได้ยื่นนโยบายครบแล้ว และจะมีการจัดพิมพ์ส่งถึง 19 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ในรูปแบบหนังสือแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนรับทราบแนวทางบริหารของแต่ละพรรคก่อนตัดสินใจเลือกตั้ง

ตั้งคณะตรวจนโยบายพรรคการเมือง

นายแสวง ระบุว่า นโยบายที่จะใช้หาเสียงต้องผ่านการพิจารณาตามมาตรา 57 ของกฎหมายพรรคการเมือง โดยกกต.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบนโยบาย ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่าข้อเสนอต่าง ๆ มีความเป็นไปได้ และไม่ขัดต่อหลักกฎหมายเศรษฐกิจการคลังของประเทศ

คณะทำงานประกอบด้วยผู้แทนจาก

สำนักงบประมาณ

กระทรวงการคลัง

กระทรวงพาณิชย์

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ธนาคารแห่งประเทศไทย

หอการค้าไทย

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นายวีระ ธีรภัทร ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ
กกต.จะเชิญทั้งหมดเข้าร่วมตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสก่อนเผยแพร่สู่ประชาชน

ชี้ช่องประชามติ–ให้ข้อมูลต้องเป็นกลาง 

เลขาฯ กกต.กล่าวถึงขั้นตอนการออกเสียงประชามติ ว่า มี 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

การให้ข้อมูล — เป็นหน้าที่ของหน่วยงานผู้เสนอกฎหมาย โดยรัฐบาลหรือครม.ต้องส่งคำถามมายัง กกต. จากนั้นกกต.จะจัดส่งเอกสารให้ประชาชนประมาณ 19 ล้านครัวเรือน ต้องทำอย่างเป็นกลางไม่ชี้นำ

การแสดงความคิดเห็น — กกต.จะจัดเวทีให้ฝ่ายเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบแสดงความเห็นอย่างเท่าเทียม ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค สื่อมวลชนเผยแพร่ได้แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุล

การรณรงค์ออกเสียงประชามติ — ประชาชนและพรรคการเมืองสามารถรณรงค์ได้ รวมถึงแสดงความเห็นชี้นำเลือกฝ่ายใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่เป็นเท็จ ไม่ใส่ร้ายป้ายสี และไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย

ค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองในการรณรงค์ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส., กฎหมายประชามติ และกฎหมายพรรคการเมือง

ย้ำเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 ได้แม้มีปัญหาชายแดน

นายแสวง กล่าวถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาว่า กกต.ตั้งเป้าจัดการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ตามกำหนด หากมีเหตุจำเป็นตามกฎหมายสามารถจัดเฉพาะบางหน่วยได้ แต่เบื้องต้นเชื่อว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น และมั่นใจว่าสามารถจัดเลือกตั้งได้ทั่วประเทศ พร้อมประสานหน่วยความมั่นคงดูแลความปลอดภัยผู้ปฏิบัติงานและประชาชน

สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารและบุคลากรการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สู้รบ กกต.จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาวิธีอำนวยความสะดวกให้มีสิทธิเลือกตั้งครบถ้วน ขณะเดียวกันในพื้นที่กัมพูชาและต่างประเทศ สถานทูต-กงสุลได้เปิดลงทะเบียนเลือกตั้งแล้ว และจะประเมินจำนวนผู้ใช้สิทธิเพื่อเตรียมการรองรับให้เหมาะสม

ด้านการนับคะแนน กกต.เตรียมให้ การเลือกตั้งนับบัตรในไทย ส่วนประชามตินับในต่างประเทศ ทำให้ภาระของกระทรวงการต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่มีการประชุมวางระบบแล้วเพื่อทำให้ดีกว่าเดิม

ผู้สื่อข่าวถามว่านักการเมืองสามารถรณรงค์ประชามติชี้นำความเห็นได้หรือไม่ นายแสวง ตอบว่า ทำได้ ภายหลังจากภาครัฐให้ข้อมูลพื้นฐานแล้ว ประชาชน พรรคการเมือง และนักการเมืองสามารถรณรงค์ชี้นำความเห็นเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบได้ แต่ต้องไม่เกินกว่ากฎหมาย กรณีข้อความหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงนั้นทำไม่ได้เด็ดขาด