วิจารณ์แซดแบ่งงาน รมต. คุมจังหวัดน้ำท่วมใต้ แก้ปัญหาหรือโชว์อำนาจ?

28 พ.ย. 2568 | 05:59 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ย. 2568 | 06:07 น.

วิจารณ์แซดแบ่งงาน รมต. คุมจังหวัดน้ำท่วมใต้ แก้ปัญหาหรือโชว์อำนาจ? : รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4153

KEY

POINTS

  • รัฐบาลออกคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรับผิดชอบดูแลการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใน 8 จังหวัดภาคใต้แบบเจาะจงรายจังหวัด
  • เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า การแบ่งงานดังกล่าวเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง สร้างภาพลักษณ์ และเตรียมฐานเสียงเลือกตั้ง มากกว่าการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ?
  • ฝ่ายค้านและข้าราชการในพื้นที่ชี้ว่า คำสั่งนี้สร้างความสับสนและซ้ำซ้อนในสายการบังคับบัญชาที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่แล้ว และอาจไม่ช่วยให้การช่วยเหลือรวดเร็วขึ้นจริง

ภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปกคลุมพื้นที่ภาคใต้ 8 จังหวัดต่อเนื่องตั้งแต่ สงขลา ถึง นราธิวาส รัฐบาลเร่งเดินเครื่องรับมือแบบรายจังหวัด อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ลงนามใน คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 11/2568 มอบหมายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมกว่า 10 คน รับผิดชอบแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบภัยแบบเจาะจงจังหวัด มีผลตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 2568 

แม้ฝ่ายรัฐบาลชี้แจงว่า เป็นการ “เร่งรัดงาน” และ “ลดความซ้ำซ้อน” แต่คำสั่งนี้กลับถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งจากนักวิชาการ ข้าราชการท้องถิ่น และ สส.ฝ่ายค้านบางส่วน ที่ตั้งคำถามว่า การกระจายงานลักษณะนี้ เป็นประโยชน์จริง หรือ แค่สร้างภาพทางการเมือง?

รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกมอบหมายให้กำกับสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละจังหวัด ได้แก่

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ – สงขลา 

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯ – นครศรีธรรมราช, ปัตตานี

โสภณ ชารัมย์ รองนายกฯ – ยะลา

สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ – สุราษฎร์ธานี 

สันติ ปิยะทัต รมต.ประจำสำนักนายกฯ – ตรัง 

นภินทร ศรีสรรพางค์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ – พัทลุง 

ทรงศักดิ์ ทองศรี รมต.ประจำสำนักนายกฯ – สตูล 

อามินทร์ มะยูโซ๊ะ รมช.เกษตรฯ – นราธิวาส  

ขณะที่ภารกิจเฉพาะด้าน เช่น การกำหนดมาตรการการเงิน-การคลัง การจัดระบบสาธารณสุข การประสานฝ่ายความมั่นคง และการจัดตั้งศูนย์สื่อสารมวลชน ถูกมอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีระดับกระทรวงหลักเข้าดูแลโดยตรง 

รัฐบาลให้เหตุผลว่า การมอบหมายรายจังหวัดจะทำให้สั่งการได้เร็ว แก้ปัญหาจากพื้นที่จริง ลดระบบรายงานที่ล่าช้า และเป็นการ “บูรณาการ” ทุกช่องทางเข้าสู่ศูนย์กลางเดียว

แต่ไม่ทันข้ามวันเสียงวิจารณ์ก็ดังขึ้นทุกทิศทาง  ทั้งจากข้าราชการ-นักวิชาการ-ฝ่ายการเมือง 

1.การเมืองมากกว่าการบริหารจัดการน้ำ : นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยภาคใต้รายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่า การแบ่งงานรัฐมนตรีรายจังหวัดแบบนี้ ทำให้ดูคล้ายการสร้างฐานคะแนนและลงพื้นที่เชิงการเมืองมากกว่าแก้ปัญหาเชิงระบบ 

“จังหวัดที่มอบหมายดูจะสัมพันธ์กับฐานการเมืองและมิตรทางการเมืองของรัฐบาลชุดนี้ บางจังหวัดมี สส.พรรคร่วมกำลังจะเปิดศึก เตรียมตัวเลือกตั้ง 2569 จึงถูกตั้งคำถามว่า เป็นการสร้างพื้นที่ให้รัฐมนตรีลงไป โชว์ผลงาน มากกว่าแก้ปัญหาโครงสร้าง”

2.ผู้ว่าฯ-ท้องถิ่นงง มีรัฐมนตรีซ้อนบนโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว : เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับจังหวัดรายหนึ่งในพื้นที่น้ำท่วม ยอมรับว่า คำสั่งลักษณะนี้ ทำให้เกิดการสั่งงาน 2 ทาง คือ จากผู้ว่าราชการจังหวัดตามระบบราชการปกติ และจากรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเอกสาร-ขั้นตอนและการจัดสรรทรัพยากรซ้ำซ้อน 

“ปกติศูนย์บัญชาการน้ำท่วมระดับจังหวัดก็จัดอยู่แล้ว มีไลน์สั่งงานจากกระทรวงมหาดไทยโดยตรง การเพิ่มรัฐมนตรีเข้ามาอีกระดับ ทำให้เราต้องรายงานสองชุด และกลัวว่าจะต้องจัดโปรแกรมให้ รมต. ลงพื้นที่เป็นพิธีมากกว่าปฏิบัติจริง”

3.ฝ่ายค้านฉะสร้างภาพ-โยนภาระ: สส.ฝ่ายค้านบางคนแสดงความเห็นว่า คำสั่งนี้คือ การผลักความรับผิดชอบจากนายกฯ ไปให้รัฐมนตรีรายจังหวัด ขณะที่งบประมาณช่วยเหลือเร่งด่วนก็ยังต้องผ่านขั้นตอนตามระบบราชการเหมือนเดิม 

“ถึงแม้ รมต.จะไปประจำจังหวัด แต่สุดท้ายเงินชดเชยต้องผ่านจังหวัด ผ่าน ปภ. ผ่านกระทรวงมหาดไทย อยู่ดี การส่ง รมต.ไปประจำจังหวัดไม่ได้ทำให้เงินลงเร็วขึ้น แต่ทำให้ภาพ รัฐบาลกำลังทำงานหนัก ดูใหญ่ขึ้นเท่านั้น”
 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลออกมาระบุว่า กระแสวิจารณ์เป็นเรื่องปกติ แต่ยืนยันว่า การมอบหมายภารกิจแบบรายจังหวัด คือเพื่อให้ ลดเวลารายงาน-เร่งงบ-เร่งคำสั่งช่วยเหลือ โดยหวังว่า “รัฐมนตรีจะเป็นตัวเชื่อมให้ทุกหน่วยมีคำสั่งจากนายกฯ ได้ทันที ไม่ต้องรอขั้นตอน”

“ระบบนี้ทำให้สามารถแก้คอขวดในระดับจังหวัด เช่น การเร่งเปิดพื้นที่ระบายน้ำ การจัดการที่พักพิง และการประสานรถ-อุปกรณ์ช่วยเหลือจากกองทัพได้เร็วขึ้น” แหล่งข่าวในรัฐบาล ระบุ

คำสั่งนี้ถูกมองได้ 2 ด้าน คือ ความพยายามบริหารจัดการอุทกภัยแบบลงรายละเอียด อีกด้านคือ การเคลื่อนไหวเชิงการเมืองที่ซับซ้อนในช่วงใกล้เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง 

ท้ายที่สุด... ไม่ว่าภารกิจนี้จะมีเป้าหมายจริงแท้เช่นไร ตัวชี้วัดสำคัญที่สุดคือ ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ที่รอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และต้องการระบบที่ตอบสนองได้จริง ไม่ใช่เพียงภาพของรัฐมนตรีลงพื้นที่เพื่อหวังผลทางการเมือง

                   ++++++++++++

ผ่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินรวมศูนย์แก้น้ำท่วมใต้ 

การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครอบคลุมทั้งจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2568 นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ใช้มาตรา 5 และมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548  เพื่อรับมือมหาอุทกภัย ที่ถูกระบุว่า “ร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน” ทั้งในระดับผลกระทบต่อชีวิตประชาชน และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 

คำประกาศระบุชัดว่า สถานการณ์ฝนตกหนักสร้าง “มหาอุทกภัย” ในหลายอำเภอของสงขลา จนกระทบความปลอดภัยและการดำรงชีวิตประชาชนอย่างปกติสุข การบริหารงานตามระบบราชการปกติไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษ 

พร้อมแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็น “ผู้บัญชาการสถานการณ์ฉุกเฉิน” ถืออำนาจสั่งการแนวหน้าในพื้นที่ คล้ายรูปแบบการบัญชาการแบบ single command ที่เคยใช้ในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่และภัยพิบัติระดับประเทศในอดีต

สาระสำคัญที่น่าจับตา อยู่ที่ประกาศฉบับที่สอง ซึ่งมีผลทันทีหลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นั่นคือการ “โอนอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของรัฐมนตรีหลายกระทรวงมาอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี” เป็นการชั่วคราว เพื่อการอนุมัติ อนุญาต บัญชาการ ป้องกัน หรือ ฟื้นฟูผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้

โครงสร้างอำนาจพิเศษดังกล่าว เปิดช่องให้ “นายกรัฐมนตรี” สามารถตัดสินใจเชิงเร่งด่วนเกี่ยวกับระบบสาธารณสุข การจราจร การอพยพ การควบคุมสินค้า การจัดสรรเครื่องมือแพทย์ ไปจนถึงการควบคุมด้านพลังงาน คมนาคมทางน้ำ-ทางบก-ทางอากาศ รวมถึงด้านความมั่นคงไซเบอร์และข้อมูลสื่อสาร ทุกอย่างเพื่อการแก้ปัญหาแบบ “ไม่ติดขั้นตอนราชการปกติ”

มีกฎหมายที่ถูกโอนอำนาจให้นายกฯ รวม 40 ฉบับ ครอบคลุมตั้งแต่

พ.ร.บ.การแพทย์ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย,

พ.ร.บ.จราจรทางบก, พ.ร.บ.อาหาร, พ.ร.บ.สาธารณสุข,

พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์, พ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง, พ.ร.บ.โรคติดต่อ, ไปจนถึงกฎหมายด้านสื่อสารและราคาสินค้าเช่น

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ.ควบคุมราคาและบริการ  

สิ่งที่ “ต่างออกไป” คือ ชุดกฎหมายเพิ่มเติมที่ “รัฐบาลอนุทิน” เลือกโอนอำนาจ ซึ่งไม่เคยอยู่ในรายการช่วงการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เช่น พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.จัดระเบียบการชลประทานและน้ำท่วม พ.ศ. 2558พ.ร.บ.แรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558

ชุดกฎหมายเหล่านี้สะท้อนว่า รัฐบาลเห็นพื้นที่ “ทะเล - ประมง - แรงงานข้ามชาติ - ระบบน้ำหลาก” เป็นจุดวิกฤตของสถานการณ์สงขลาครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงน้ำท่วมบนบก แต่รวมถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจชายฝั่ง การเดินเรือ การทำประมงเชิงพาณิชย์ และโครงสร้างควบคุมแรงงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของชุมชนริมทะเล

รายการกฎหมายที่ “รัฐบาลอนุทิน” เลือกโอนอำนาจจึงเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์เชิงโครงสร้าง ว่าเป็น “วิกฤตน้ำท่วมที่มีมิติด้านคมนาคม พลังงาน ประมง การขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการอพยพ หรือ ศูนย์พักพิงเท่านั้น

ในทางการเมือง การโอนอำนาจกว้างขนาดนี้ ยังสะท้อนการบริหารแบบ “ศูนย์กลางอำนาจด้านวิกฤต” ซึ่งทำให้ “นายกรัฐมนตรี” สามารถเร่งรัดคำสั่งข้ามกระทรวงได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนปกติของระบบราชการหรือมติหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเชื่อว่าจะช่วยลดความล่าช้าในการจัดสรรเครื่องมือ การเปิด - ปิดการเดินทางในพื้นที่เสี่ยง การจัดการแรงงานประมง การเคลื่อนย้ายเสบียง และการบริหารเขื่อน - ทางน้ำที่เชื่อมกับจังหวัดใกล้เคียง

การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ จะมีผลถึงวันที่ 25 ก.พ. 2569 รวมเป็นระยะเวลา 3 เดือนเต็ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม การประเมินความเสียหายต่อภาคประมง ภาคชายฝั่ง และ โครงสร้างน้ำ รวมทั้งยุทธศาสตร์ย้ายชุมชนในพื้นที่เสี่ยงซ้ำซาก

ขณะที่สังคมกำลังจับตาอยู่สองประเด็นสำคัญ ได้แก่

1.ประสิทธิภาพการแก้ปัญหาน้ำท่วม – น้ำหลากจริงหรือไม่ภายใต้โครงสร้างรวมศูนย์

2.การใช้อำนาจกฎหมายจำนวนมากเกินจำเป็นหรือไม่ และจะส่งผลต่อเสรีภาพประชาชนหรือกลไกตรวจสอบอย่างไร

น้ำท่วมสงขลาครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงวิกฤตธรรมชาติ แต่ยังเป็นบททดสอบ “รูปแบบการใช้อำนาจยามวิกฤต” ของรัฐบาล

รายงานพิเศษ โดย...ทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4153