ด่วน ศาลสั่งเพิกถอนประกาศอนุญาต“นักบินต่างชาติ”บินในประเทศไทย

17 พ.ย. 2568 | 09:46 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ย. 2568 | 10:02 น.

ศาลปกครองสูงสุดสั่งเพิกถอนประกาศกระทรวงแรงงาน อนุญาตนักบินต่างชาติบินในประเทศ ชี้ “ออกโดยมิชอบ” กระทบโอกาสทำกินคนไทย มีผลนับตั้ง 17 พ.ย. 68

KEY

POINTS

  • ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกระทรวงแรงงาน ที่อนุญาตให้นักบินต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้เป็นกรณีพิเศษ
  • ประกาศดังกล่าวอนุญาตให้นักบินต่างชาติทำงานด้วยวิธีการเช่าเครื่องบินพร้อมผู้ประจำหน้าที่ (Wet Lease) ตามคำร้องขอของสายการบินเอกชนเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว
  • ศาลชี้ว่าการออกประกาศเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ใช่กรณีจำเป็นเพื่อความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของเอกชน และอาจกระทบต่ออาชีพของคนไทย

วันนี้ (17 พ.ย.68) ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาสำคัญที่ส่งผลต่อการจ้างงานในวิชาชีพนักบิน โดยศาลได้สั่งเพิกถอน ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ประจำหน้าที่นักบินประจำอากาศยานด้วยวิธีการเช่าพร้อมผู้ประจำหน้าที่ (Wet Lease) ตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ซึ่งประกาศดังกล่าวลงวันที่ 13 ธันวาคม 2567 โดยให้การเพิกถอนมีผลนับตั้งแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา

ต้นเหตุของการฟ้องร้อง 

คดีดังกล่าวมีต้นเรื่องมาจากการที่ สมาคมนักบินไทย และนายกสมาคมนักบินไทย ได้ร่วมกันยื่นฟ้อง กระทรวงแรงงาน กับพวก รวม 2 คน ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกระทรวงแรงงานฉบับพิพาท

การออกประกาศนี้ สืบเนื่องจากบริษัทเอกชนผู้ประกอบธุรกิจการเดินอากาศรายหนึ่งได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อขอความอนุเคราะห์พิจารณาการใช้ผู้ควบคุมอากาศยานต่างชาติให้ทำการบินในเส้นทางบินภายในประเทศเป็นการชั่วคราว

โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ประกอบกับสายการบินมีแผนจัดหาอากาศยานแบบ A320 จำนวน 2 ลำ ด้วยวิธีการเช่าพร้อมผู้ประจำหน้าที่ (Wet Lease) เพื่อนำมาใช้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศชั่วคราว

เหตุผลเพิกถอนคำสั่งของศาล

ศาลปกครองสูงสุดได้ระบุเหตุผลในการเพิกถอนประกาศดังกล่าวอย่างชัดเจน โดยอ้างอิงถึงบทบัญญัติในมาตรา 7 วรรคสอง และมาตรา 14 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถทำงานในราชอาณาจักรได้

ศาลชี้ว่า แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะมีอำนาจตามกฎหมายในการออกประกาศยกเว้นกรณีการทำงานของคนต่างด้าวได้ แต่การใช้อำนาจดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่จำกัดไว้ คือ ต้องเป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง ที่มีความจำเป็นในการรักษาความมั่นคง การเศรษฐกิจของประเทศ หรือการป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ตามมาตรา 14 เท่านั้น

นอกจากนี้ การใช้อำนาจยกเว้นดังกล่าวยังมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ จะต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย การออกประกาศที่พิพาทในคดีนี้สืบเนื่องมาจากคำขอของบริษัทเอกชนเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจชั่วคราว จึงเห็นได้ว่า มิใช่เป็นกรณีพิเศษเฉพาะเรื่อง ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่า การออกประกาศที่พิพาทนี้มีลักษณะเป็นการออกกฎที่ไม่ได้รักษาประโยชน์สาธารณะตามที่ พ.ร.ก.กำหนดการจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 บัญญัติไว้ แต่กลับเป็นการรักษาประโยชน์สาธารณะด้านอื่น ซึ่งถือเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศดังกล่าวในที่สุด