เตือนพรรคประชาชน พายเรือให้“หนู”นั่งนายกฯ ระวังถูกแว้งกัด?

31 ส.ค. 2568 | 08:33 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ส.ค. 2568 | 09:08 น.

“ชูวิทย์”เตือน "พรรคประชาชน “พายเรือให้หนูนั่งนายกฯ” ระวังถูกแว้งกัด จี้คิดให้รอบคอบ ก่อนโหวตหนุน หวั่นซ้ำรอยพรรคเก่าแก่ คะแนนนิยมร่วง

KEY

POINTS

  • ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เตือนพรรคประชาชนการสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว 4 เดือน มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกหักหลังหรือ "แว้งกัด" ในภายหลัง
  • มองว่าระยะเวลา 4 เดือน ไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาของประเทศ แต่เป็นโอกาสให้ นายอนุทิน ใช้อำนาจเพื่อจัดการคดีความส่วนตัวที่ยังค้างอยู่
  • พรรคประชาชนอาจสูญเสียภาพลักษณ์การเมืองใหม่และฐานเสียง หากร่วมมือกับ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีแนวทางการเมืองแบบเก่า และอาจถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง


การเมืองไทย หลัง “แพทองธาร ชินวัตร” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ไปเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ยังคงฝุ่นตลบอยู่กับการชิงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดย “พรรคประชาชน” กลายเป็นพรรคที่ถูกจับตามองมากที่สุด หลังเปิดเงื่อนไขให้ผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามารับตำแหน่งชั่วคราว 4 เดือน ก่อนจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ที่แสดงตัวชัดเจนที่สุดคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

แต่ทันทีที่กระแสนี้แพร่สะพัดออกไป “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมืองชื่อดังที่ผันตัวมาเป็นนักแฉและนักวิเคราะห์การเมือง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือนพรรคประชาชนอย่างเผ็ดร้อน ว่า การ “พายเรือให้หนูนั่ง” อาจไม่ใช่คำตอบที่สวยหรู หากแต่เป็นการเสี่ยงให้พรรคกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง และสูญเสียความชอบธรรมที่สะสมมา

4 เดือนเปลี่ยนประเทศไม่ได้ แต่เปลี่ยนชะตา“อนุทิน”ได้

ชูวิทย์ตั้งคำถามว่า ข้อเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่อยู่ได้เพียง 4 เดือน ก่อนยุบสภานั้น ไม่มีความเป็นไปได้จริง เพราะในระยะเวลาเพียงเท่านี้ ไม่เพียงพอสำหรับการแก้ปัญหาประเทศที่รุมเร้าอยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง หรือ ปัญหาปากท้อง

แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ “จัดการปัญหาส่วนตัว” ของ นายอนุทิน โดยเฉพาะคดีความที่ยังรอการพิจารณาจำนวนมาก ทั้งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่ง ชูวิทย์ เปรียบว่า “เหมือนภูเขาไฟที่รอระเบิด”

คดีดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่กรณี “เขากระโดง” ไปจนถึงการ “ฮั้ว สว.” ซึ่งหลายเรื่อง นายอนุทิน ไม่สามารถปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ เพราะมีเอกสารการแจ้งข้อกล่าวหาโดยตรง

ประชาชนจะได้อะไรจากดีลนี้? 

คำถามสำคัญที่ ชูวิทย์ ย้ำคือ พรรคประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการโหวตให้ นายอนุทิน เป็นนายกฯ? เพราะแม้จะมีข้ออ้างว่าอยู่เพียง 4 เดือน แต่ในทางปฏิบัติ การยุบสภาย่อมไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เนื่องจากจะมีข้ออ้างต่างๆ นานาในการ “อยู่ต่อเพื่อสะสางงาน”

นั่นเท่ากับว่า “พรรคประชาชน” กำลังเสี่ยงเสีย “ทุนทางการเมือง” ที่สร้างขึ้นจากภาพลักษณ์ความเป็นการเมืองใหม่ และความจริงใจในการผลักดันประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งสุดท้ายก็ยังติดด่านวุฒิสภาที่พร้อมคว่ำข้อเสนอ

“ดีเอ็นเอการเมือง”ต่างกัน

ชูวิทย์ ชี้ว่า DNA ของ พรรคประชาชน แตกต่างจาก พรรคภูมิใจไทย โดยสิ้นเชิง พรรคประชาชนก่อร่างขึ้นจากแนวคิดการเมืองใหม่ แต่ภูมิใจไทยถูกมองว่า มีลีลาการเมืองแบบเก่า เต็มไปด้วย “งูเห่า-กล้วย-นอมินี” และ การต่อรองอำนาจ

การไปร่วมมือจึงไม่ต่างอะไร กับ การเชื้อเชิญนักการเมืองสายเขี้ยวลากดิน ให้ขึ้นมานั่งบนเรือที่ตัวเองกำลังพาย และมีความเสี่ยงสูงที่จะถูก “แว้งกัด” เมื่อถึงฝั่ง

บทเรียน“พรรคประชาธิปัตย์”

คำเตือนอีกประการจาก ชูวิทย์ คือ พรรคประชาชนอย่าลืมบทเรียนจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยตัดสินใจผิดพลาดในการร่วมดีลทางการเมือง จนทำให้คะแนนนิยมตกต่ำอย่างยากจะฟื้น

หากพรรคประชาชนเดินตามรอยพรรคเก่า ก็มีโอกาสสูงที่คะแนนในเขตเมือง และฐานเสียงเดิมจะหดหาย และจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ 

สถานการณ์ล่าสุดยังตอกย้ำข้อกังวล เมื่อพรรคกล้าธรรมเลือกทิ้งเพื่อไทยไปจับมือภูมิใจไทย แลกกับตำแหน่งกระทรวงมหาดไทย สะท้อนสไตล์การเมืองแบบ “หักลุง หักเพื่อน หักใครก็ได้” เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า

ชูวิทย์ตั้งคำถามว่า นี่ใช่สิ่งที่พรรคประชาชนต้องการหรือ? หากตอบว่า ไม่ การก้าวเข้าสู่เกมการเมืองเก่า ก็จะยิ่งทำลายภาพลักษณ์ของพรรคเอง

สัจจะนักการเมืองไม่มี

ข้อความทิ้งท้ายของ ชูวิทย์ คือ “อย่ามั่นใจเกินไป ว่าการพายเรือให้บรรดานักการเมืองเขี้ยวลากทั้งหลายนั่ง จะอยู่รอดปลอดภัย ไม่แว้งมากัดคนพายเมื่อถึงฝั่ง เพราะการเมืองไทย ไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมือง”

เดิมพันอนาคตพรรคประชาชน

การตัดสินใจของพรรคประชาชนในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเลือก “ใครจะเป็นนายกฯ ชั่วคราว” แต่คือ การเลือกทิศทางอนาคตของพรรค ว่าจะยังรักษาแนวทางการเมืองใหม่ ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง หรือจะเสี่ยงกลายเป็นพรรคที่ถูกมองว่า “ตกเป็นเครื่องมือ” ของนักการเมืองรุ่นเก่า

ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ทั้งในสภา และ ความนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้า