เส้นทางการเมือง “ไชยา พรหมา” แคนดิเดตรองประธานสภาฯ คนที่ 1

06 ส.ค. 2568 | 07:59 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ส.ค. 2568 | 08:08 น.

พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อ ไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู เป็นแคนดิเดตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิ โดยจะมีการลงคะแนนในสภาฯ วันที่ 7 สิงหาคม 2568

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยมีมติเอกฉันท์เสนอชื่อนายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568

การเสนอชื่อเป็นไปเพื่อแทนตำแหน่งของนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตส.ส.เชียงราย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากมีพฤติกรรมที่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ในการประชุมครั้งนี้มีการแข่งขันภายในพรรค โดยนพ.ทศพร เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ ได้เสนอชื่อตนเองให้ที่ประชุมพิจารณาเช่นกัน แต่ผลการลงคะแนนลับเป็นเอกฉันท์ให้กับไชยา พรหมา

ประวัติส่วนตัวและการศึกษา

ไชยา พรหมา เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2503 มีภูมิลำเนาที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันอายุ 65 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาบัญชี จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโท บริหารศาสตรมหาบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สมรสกับนางอัญชลี พรหมา (สกุลเดิม เทือกต๊ะ) มีบุตรสาว 1 คน คือ นางสาวอธิษฐาน พรหมา

เส้นทางการเมืองตั้งแต่ปี 2535

ไชยา พรหมาเริ่มต้นการเมืองด้วยการได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.จังหวัดอุดรธานีครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาในปีเดียวกันได้ย้ายไปสังกัดพรรคชาติพัฒนาในการเลือกตั้งเดือนกันยายน

ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2538 ได้ย้ายมาเป็นส.ส.จังหวัดหนองบัวลำภูครั้งแรกในสังกัดพรรคชาติพัฒนา และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องในปี 2544 สังกัดพรรคเสรีธรรม ซึ่งต่อมาได้ยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย

ตั้งแต่นั้นมา ไชยา พรหมาได้ดำรงตำแหน่งส.ส.จังหวัดหนองบัวลำภูอย่างต่อเนื่องผ่านหลายพรรค ได้แก่ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ทำให้เป็นนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.มากที่สุดในจังหวัดหนองบัวลำภู คือ 7 สมัย
ไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู

ตำแหน่งสำคัญในสภาและพรรค

ในระหว่างการดำรงตำแหน่งส.ส. ไชยา พรหมาได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง ในปี 2554 เป็นประธานกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร และในปี 2562 เป็นประธานกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ

ในปี 2563 ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสถาบันพระปกเกล้า และได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ช่วงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ

เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 ไชยา พรหมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน โดยรับผิดชอบ 4 หน่วยงาน คือ กรมปศุสัตว์ กรมฝนหลวง กรมหม่อนไหม และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย

ในช่วงดำรงตำแหน่ง ไชยา พรหมาได้ดำเนินมาตรการปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย โดยเฉพาะปัญหา "หมูเถื่อน" และ "เนื้อเถื่อน" ที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ มาตรการที่ดำเนินการรวมถึงการตรวจสอบห้องเย็นทั่วประเทศ 2,724 แห่ง การร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทยในโครงการ "ท่าเรือสีขาว" และการทำลายซากสัตว์กลางที่ยึดได้ 2 ครั้ง น้ำหนักรวม 6,000 ตัน มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท

ไชยา พรหมาถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 โดยเขากล่าวว่าไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เข้าใจในเหตุผลและความจำเป็นของนายกรัฐมนตรี

ข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สิน

จากการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของสำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ไชยา พรหมาและนางอัญชลี พรหมา คู่สมรส มีทรัพย์สินรวม 41,449,913.42 บาท และหนี้สิน 2,284,706.67 บาท

ทรัพย์สินของไชยา พรหมา จำนวน 18,214,735.03 บาท ประกอบด้วย เงินสดและเงินฝาก 2,611,335.03 บาท หุ้นธนาคารกสิกรไทย 3,400 บาท ที่ดิน 8 แปลงในจังหวัดหนองบัวลำภูและขอนแก่น มูลค่า 8.2 ล้านบาท บ้านพักในจังหวัดหนองบัวลำภู 6.5 ล้านบาท รถยนต์ 500,000 บาท และเครื่องประดับทองคำ 400,000 บาท

ทรัพย์สินของนางอัญชลี พรหมา จำนวน 23,235,178.39 บาท ประกอบด้วย เงินสดและเงินฝาก 616,178.39 บาท ที่ดิน 16 แปลงในจังหวัดหนองบัวลำภูและอุดรธานี มูลค่า 10.4 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์ 9 หลัง มูลค่า 9.1 ล้านบาท ยานพาหนะ 5 คัน มูลค่า 2.319 ล้านบาท และเครื่องประดับ 800,000 บาท

นางอัญชลี พรหมาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการใน หจก.ศรีบุญเรืองวัฒนา ที่ประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องเขียนและแบบพิมพ์ โดยถือหุ้น 400,000 บาท จากทุนจดทะเบียน 500,000 บาท

ไชยา พรหมามีรายได้ประจำปี 1,397,579.35 บาท จากเงินเดือนและค่าตอบแทน 1,157,579.35 บาท และค่าเช่า 240,000 บาท พร้อมรายจ่าย 180,000 บาทต่อปี ส่วนนางอัญชลีมีรายได้ 240,000 บาทต่อปี และรายจ่าย 84,000 บาทต่อปี

ไชยา พรหมา สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

แนวทางการทำงานและการติดต่อกับประชาชน

ไชยา พรหมามีแนวทางการทำงานที่เน้นการติดต่อกับประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวที่ชาวบ้านสามารถโทรหาได้โดยตรงมานานกว่า 30 ปี เขาเปรียบเทียบประสบการณ์ของตนเองกับการเป็นเจ้าอาวาสวัดที่ต้องมีพรรษาและประสบการณ์

สถานการณ์ปัจจุบันและการแข่งขันทางการเมือง

ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีรายงานการแข่งขันภายในกลุ่มส.ส.อีสานพรรคเพื่อไทยเพื่อชิงตำแหน่งรองประธานสภาฯ โดยไชยา พรหมาถือเป็นแคนดิเดตเต็งหนึ่ง

การเสนอชื่อครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยประกาศว่าจะไม่ส่งผู้สมัครแข่งขัน แต่จะไม่โหวตให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย

ไชยา พรหมาถือเป็นนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.มากครั้งที่สุดในจังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 7 สมัย และเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีประสบการณ์ยาวนานในสภาผู้แทนราษฎร

การลงคะแนนเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 จะเป็นการทดสอบความสามารถในการรวบรวมเสียงสนับสนุนของไชยา พรหมา รวมถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองที่สร้างมาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในการเมืองไทย

การเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ถือเป็นตำแหน่งสำคัญในการบริหารงานสภา โดยเฉพาะในการกำกับการประชุมและการพิจารณากฎหมายต่างๆ ซึ่งจะต้องอาศัยประสบการณ์และความเข้าใจในกระบวนการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรอย่างลึกซึ้ง

ผลการลงคะแนนในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 จะเป็นตัวบ่งชี้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างพรรคต่างๆ และการยอมรับของส.ส.ทั่วสภาต่อแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย