วันนี้ (17 ก.ค.68) ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน และ สส. รวม 121คน (ผู้ร้อง) ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม
กรณี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ผู้ถูกร้องเป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการ และให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง หรือ ทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
และกรณีสำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกัน และต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแล้ว ไม่อยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายในกระบวนการทางนิติบัญญัติ ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (7) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย
ส่วนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 มีคำสั่งรับคำร้องในส่วนนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และแจ้งให้ผู้ร้องทราบ พร้อมทั้งส่งสำเนาคำร้องให้ นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้อง
เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับความเห็นของผู้ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายในวันจันทร์ที่ 21 ก.ค. นี้ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
ให้คู่กรณีมารับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ณ ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ ภายในเวลาที่กำหนดแทนการส่งเอกสารให้แก่บุคคลนั้น ทั้งนี้ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 ประกอบข้อกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562 ข้อ 23
สำหรับ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 1 คน คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า การกระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง คือ การเสนอ การแปรญัตติ การกระทำ ด้วยประการใด ๆ ที่มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริง ตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม และเอกสารประกอบ ยังไม่ปรากฏว่า นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องมีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว เป็นที่ยุติชัดเจน
เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกิจการของสภาผู้แทนราษฎรตามหน้าที่ของผู้ถูกร้องที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรมอบหมาย เท่านั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จึงไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
สำหรับคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการ หรือ วิธีการชั่วคราวก่อนมีคำวินิจฉัย กำหนดให้ นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎ รและ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อยู่ในระหว่างการพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญให้ยกคำขอส่วนนี้
ส่วนคำขอให้ศาลกำหนดให้ผู้เกี่ยวข้องระงับการใช้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายของโครงการ ทั้ง 3 โครงการ ตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รับการจัดสรร เห็นว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
และเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้แล้วเสร็จ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลในวันพฤหัสบดีที่ 24 ก.ค. เวลา 10.00 น. หากผู้ร้องหรือผู้ถูกร้อง ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดี ให้ยื่นแถลงการณ์ปิดคดีเป็นหนังสือภายในวันอังคารที่ 29 ก.ค. 68 และศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 68 เวลา 09.30 น. และนัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป