“สุริยะ”รักษาการนายกฯ หลัง“แพทองธาร” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่

01 ก.ค. 2568 | 06:44 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ก.ค. 2568 | 06:53 น.

"สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" รองนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ "แพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ ท่ามกลางวิกฤติทางการเมือง

สถานการณ์การเมืองไทยเดินหน้าสู่จุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน ซึ่งถูกมองว่าอาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทย ต้องขึ้นดำรงตำแหน่ง “รักษาการนายกรัฐมนตรี” ตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ

การแต่งตั้งให้ “สุริยะ” ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ไม่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางความเรียบร้อย แต่กลับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาล ที่เผชิญวิกฤติความนิยมตกต่ำอย่างรุนแรง ทั้งจากโพลหลายสำนักที่ชี้ว่านายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย กำลังสูญเสียฐานเสียงสนับสนุนไปอย่างรวดเร็ว และจากแรงกดดันบนท้องถนน ที่มีการชุมนุมประท้วงหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหนึ่งในนักการเมืองอาวุโสที่ผ่านประสบการณ์บริหารในหลายรัฐบาล เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วหลากหลายกระทรวง และได้รับความไว้วางใจจากพรรคเพื่อไทยให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรมว.คมนาคม 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่เขาต้องเผชิญในฐานะ “รักษาการนายกฯ” ไม่ใช่เรื่องเล็ก เมื่อรัฐบาลกำลังสั่นคลอนจากแรงปะทะทั้งภายนอกและภายใน

แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า นายสุริยะได้เรียกประชุมคณะทำงานใกล้ชิดทันที หลังได้รับหนังสือคำสั่งจากศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมกำหนดแนวทางในการรักษาเสถียรภาพของฝ่ายบริหาร ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชน และการควบคุมสถานการณ์การชุมนุม

ขณะเดียวกัน บรรยากาศภายในพรรคเพื่อไทยเอง ก็เริ่มปรากฏแรงสะเทือน เมื่อมีรายงานว่าแกนนำบางส่วนเริ่มเสนอแนวคิดให้เตรียม "แผนสำรอง" หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งอย่างถาวร และอาจต้องยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

ในช่วงที่สุญญากาศอำนาจกำลังก่อตัวขึ้น ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาทางการเมือง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องรับบทผู้นำชั่วคราว ที่ต้องไม่เพียงแค่ “รักษา” อำนาจบริหารให้เดินหน้าต่อได้ แต่ยังต้อง “ประคับประคอง” ความหวังของประชาชนที่เริ่มหมดศรัทธาต่อระบบการเมืองไทย

สถานการณ์ขณะนี้จึงไม่ใช่แค่การรักษาการตามกฎหมายเท่านั้น หากแต่เป็นบทพิสูจน์ความสามารถทางการเมือง และการตัดสินใจที่ถูกจังหวะของผู้นำในเวลาวิกฤติ