KEY
POINTS
ภาพกรุงเทพมหานครที่หลายคนคุ้นตา เมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้า รถติดเป็นสายยาว และการจราจรที่แน่นขนัด แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทอดยาวตัดผ่านเมืองราวกับเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ แต่ใครจะคิดว่าในอดีต รัฐบาลไทยเคยคิดจะย้ายเมืองหลวง เพื่อแก้ปัญหาทั้งมลภาวะ ความแออัด และความมั่นคงด้านภัยธรรมชาติ
ข้อมูลจาก Climate Central (ปี 2019) ในรายงานพิเศษ “Flooded Future: Global vulnerability to sea level rise worse than previous understood" ระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรกว่า 10% ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่คาดว่าจะจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1% เนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สอดคล้องกับ Greenpeace (ปี 2021) รายงาน "The Projected Economic Impact of Extreme Sea-Level Rise in Seven Asian Cities in 2030" ระบุว่า ภายในปี 2030 พื้นที่ 96% ของกรุงเทพฯ จะประสบกับภัยน้ำท่วม
ด้าน รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้อ้างอิงงานวิจัยระดับโลก 3 ฉบับ พบว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความเสี่ยงสูงที่จะจมใต้น้ำภายใน 20 ปีข้างหน้า โดยมีสาเหตุจากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น น้ำเหนือหลาก และน้ำทะเลหนุนสูง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 3-4 มม./ปี โดยกรุงเทพฯ ในอีก 6 ปี ข้างหน้า น้ำทะเลสูงขึ้น 10 ซม. ต่อไปอีก 30 ปี จะเป็น 40-50 ซม. และเมื่อผ่านไป 80 ปี จะเป็น 1.50 เมตร
"ย้ายเมืองหลวง" เคยเป็นเรื่องที่จริงจังในประวัติศาสตร์ไทยหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2485-2486) ซึ่งขณะนั้น ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลเห็นว่ากรุงเทพฯ อาจไม่ปลอดภัยจากการโจมตีทางอากาศ จึงมีแนวคิดจะย้ายเมืองหลวงไป จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ภูเขาสูง อยู่กลางประเทศ และสามารถป้องกันการโจมตีจากศัตรูได้ง่าย
มีการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง "นครบาลเพชรบูรณ์" และมีการก่อสร้างอาคารบางส่วน แต่ท้ายที่สุด แนวคิดนี้ก็ถูกล้มเลิกไป หลังสงครามสิ้นสุด
แนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2492) โดยมีการเสนอ จังหวัดลพบุรี เป็นเมืองหลวงใหม่ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางทหารและอยู่ใกล้กรุงเทพฯ แต่แนวคิดนี้ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เสนอแนวคิดให้ "ฉะเชิงเทรา" เป็นเมืองหลวงแห่งที่สอง เพื่อช่วยกระจายการพัฒนาไปยังภาคตะวันออกและลดความแออัดของกรุงเทพฯ แต่แผนการนี้ก็ถูกพับเก็บไปเช่นกัน
ล่าสุด ในปี พ.ศ. 2566 คณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอแนวคิดให้พิจารณาย้ายเมืองหลวงไปยัง จังหวัดนครราชสีมา แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม
ขณะที่ไทยยังลังเล อินโดนีเซียได้เริ่มต้นการย้ายเมืองหลวงอย่างเป็นทางการแล้ว อินโดนีเซียกำลังจะย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาการ์ตาไปยังเมืองใหม่ชื่อ "นูซันตารา" บนเกาะบอร์เนียว
โดยสาเหตุของการย้ายในครั้งนี้ เพราะจาการ์ตากำลังจมลงในอัตรา 10-20 ซม. ต่อปี ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะน้ำท่วม ขณะเดียวกัน เมืองมีประชากรหนาแน่นกว่า 30 ล้านคน ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรและมลพิษรุนแรง ต้องการกระจายความเจริญออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ โดยอินโดนีเซียใช้งบประมาณกว่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท)
แผนการดำเนินการย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซีย เริ่มก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตั้งแต่ปี 2022 คาดว่าจะเริ่มย้ายหน่วยงานรัฐบาลไปยังเมืองใหม่ภายในปี 2028 คาดว่าเมืองหลวงจะสามารถเปิดใช้งานอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2045
หลายประเทศทั่วโลกเคยดำเนินโครงการย้ายเมืองหลวงเพื่อแก้ปัญหาความแออัดและส่งเสริมการพัฒนาในภูมิภาคใหม่
บราซิลเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการย้ายเมืองหลวงจาก ริโอเดจาเนโรไปยังบราซิเลีย ระหว่างปี 1956-1960 เพื่อกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ภายในประเทศ ด้วยงบประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 67,415 ล้านบาท)
ขณะที่ไนจีเรียเผชิญปัญหาความแออัดและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ จึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากลากอสไปยังอาบูจา โดยใช้เวลากว่า 11 ปี (1980-1991) และงบประมาณสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 336,000 ล้านบาท)
ส่วนคาซัคสถานได้ดำเนินการย้ายเมืองหลวงจากอัลมาตีไปยังอัสตานา (ปัจจุบันคือ นูร์-ซุลตัน) ในปี 1997-2006 ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยจากแผ่นดินไหวและการกระจายความเจริญไปทางตอนเหนือของประเทศ ใช้งบประมาณราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 100,818 ล้านบาท)
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงปัจจัยที่แต่ละประเทศต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจย้ายศูนย์กลางการปกครอง ซึ่งไทยเองก็เคยมีแนวคิดนี้หลายครั้งแต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงท่ามกลางปัญหาน้ำท่วมและการทรุดตัวของกรุงเทพฯที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
อินโดนีเซียกำลังเดินหน้าเต็มตัว ไทยเองอาจต้องเรียนรู้จากประเทศเหล่านี้และพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ อาจไม่จำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงทั้งหมด แต่อาจใช้แนวคิด "เมืองสำรอง" หรือ "กระจายอำนาจทางการปกครอง" ไปยังจังหวัดอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ "ถ้าเราไม่คิดวางแผนวันนี้ อนาคตอาจไม่มีทางเลือกให้เราอีกต่อไป"