หลังจากที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกฯ คนที่ 31 ไปเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ซึ่งขึ้นตอนต่อจากนี้จะต้องมีการจัดตั้งทีมรัฐมนตรี และใช้เวลาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกประมาณ 1-2 สัปดาห์
นายกฯจึงนำรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯ จากนั้นนายกรัฐมนตรีและครม.เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ถวายสัตย์ ฯ ซึ่งรศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีข้อเสนอแนะและข้อพึงระวังหลายประการ
ดร.ดุลยภาค กล่าวผ่านรายการ “เข้าเรื่อง” ออกอากาศผ่านทางยูทูปช่องฐานเศรษฐกิจว่า รับบาลภายใต้การนำของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ยังคงต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุทางการเมือง ไม่ให้ซ้ำรอยบิดา คือนายทักษิณ ชินวัตร และคุณอา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และต้องระวังเรื่องการควบคุมพรรคโดยนายทักษิณ อาจจะเป็นช่องโหว่ให้มีผู้นำไปร้องได้ ฉะนั้น 3ปีนับจากนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้อย่างสบายใจ
สำหรับการบริหารอารมณ์ของคนในสังคม โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีทั้งคนที่พอใจ และไม่พอใจ รวมถึงนโยบายดึงต่างชาติซื้อ หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย อาจนำมาสู่วาทกรรมขายชาติได้ ซึ่งจะเป็นเรื่องร้ายแรง
นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนและกองทัพที่ต้องจับตามองอยู่ตลอดสำหรับการเมืองไทย ซึ่งน.ส.แพทองธาร จะต้องบริหารประเทศให้มีความรักความสามัคคี และต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หากทำหน้าที่เหล่านี้ได้สมบูรณ์ก็ไม่ต้องกังวล
สำหรับการปรับตัวของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร นั้นหากมีการปรับตัวได้ดี มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม โชว์วิสัยทัศน์ที่ชาญฉลาด ได้รับการยอมรับจากสื่อต่างชาติ หรือชุมชนนานาชาติ ก็จะช่วยเพิ่มคะแนนในเรื่องของภาพลักษณืไทยในเวทีระหว่างประเทศได้ โดยเฉพาะการผลักดันเรื่อง soft power ให้ประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้ไทยกลายเป็นรัฐที่มำอำนาจระดับกลาง (middle power) ในเวทีโลกมากขึ้นได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นโอกาสสำหรับตัวน.ส.แพทองธารเองด้วย
อีกเรื่องที่ช่วยสร้างคะแนนให้แก่พรรคเพื่อไทยได้ คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างน้อยคือการกระตุ้นเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานให้คนลืมตาอ้าปากได้ นำสิ่งที่มีประโยชน์ในยุคนายทักษิณ มาปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับยุคสมัย แต่หากไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษบกิจให้ดีขึ้นได้คะแนนนิยมก็อาจเทไปยังพรรคประชาชน เพราะฉะนั้นภายใน 3ปีนี้เป็นโอกาสทองของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องสร้างคะแนนนิยมให้ได้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ยากลำบากก็จะตกอยู่กับพรรคเพื่อไทย