KEY
POINTS
เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่การเมืองไทย ที่ต้องบันทึกไว้ว่า ในเดือนสิงหาคม 2567 “ศาลรัฐธรรมนูญ” ชุดที่มี “นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” เป็นประธาน ได้สร้างปรากฏการณ์ที่นำไปสู่การ “พลิกโฉมการเมืองไทย”
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย สั่ง “ยุบพรรคก้าวไกล” ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 11 คน และสั่งให้ “เศรษฐา ทวีสิน” สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย ทำให้ “คณะรัฐมนตรี” ต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
“เศรษฐา”ขาดคุณสมบัติ
ไปดูคดีของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน กันก่อน เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5 )
จากกรณีถูกกล่าวหากระทำการเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งเคยถูกศาลฎีกา มีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ในคดีสินบนถุงขนม 2 ล้าน เมื่อปี 2551 ให้ดำรงตำแหน่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ
ศาลฯ ให้เหตุผลว่า พิจารณาเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ตามคำปรารภที่ว่า รัฐธรรมนูญนี้วางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และ ธรรมาภิบาล เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง หรือ ใช้อำนาจตามอำเภอใจ
จึงบัญญัติคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ไว้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 เป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเพิ่มเติมจากลักษณะต้องห้าม ของบุคคลที่จะใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98
นายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 กล่าวอ้างว่า ตนมีภูมิหลังจากการประกอบธุรกิจ มีประสบการณ์ทางการเมืองที่จำกัด ไม่มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์ หรือ รัฐศาสตร์ จึงไม่อาจวินิจฉัยว่า นายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ หรือ มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะนายกฯเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในฝ่ายบริหาร ทุกการตัดสินใจมีผลกระทบต่อบ้านเมือง จึงต้องมีความรับผิดชอบในทุกการกระทำ
ประกอบกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต และความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อสาธารณชนนั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัดในลักษณะภาวะวิสัย ข้อเท็จจริงปรากฏ ในคำสั่งศาลฎีกาที่ 4599/2551 ที่วินิจฉัยว่า เสมียนทนายความที่ทำงาน ประสานงานให้ นายพิชิต นำถุงกระดาษใส่เงินสดมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกา โดยที่รู้ หรือ ควรรู้ว่าภายในถุงกระดาษดังกล่าวมีเงินสดอยู่ และ นายพิชิต มีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่า มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว ด้วยในลักษณะเป็นตัวการร่วม
โดยมีเจตนาจูงใจให้เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ที่อาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2550 ซึ่งเป็น ลูกความของ นายพิชิต
การกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน สั่งลงโทษนายพิชิต ฐานละเมิดอำนาจศาล ล้วนเป็นข้อเท็จจริง ที่สาธารณชนต่างรู้กันโดยทั่วไป
และสภาทนายความ เห็นว่า การที่นายพิชิต ถูกลงโทษในคดีละเมิดอำนาจศาล ตามคำสั่งศาลฎีกาข้างต้น เป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงอำนาจศาล ทำให้เสื่อมเสียอำนาจศาล หรือผู้พิพากษา และกระทบต่อความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมไทย ให้ลบชื่อ นายพิชิต กับผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องออกจากทะเบียนทนายความ
นายเศรษฐา รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยตลอดแล้ว แต่ยังคงเสนอให้แต่งตั้ง นายพิชิต เป็นรัฐมนตรีฯ ตามพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ฉบับลงวันที่ 27 เม.ย. 2567 นายเศรษฐา จึงไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4)
“เศรษฐา-ครม.”ตกเก้าอี้
การที่นายเศรษฐา รู้หรือควรรู้ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติการณ์ต่าง ๆ ของนายพิชิต ดังกล่าวโดยตลอดแล้ว แต่ยังเสนอแต่งตั้งให้ นายพิชิต เป็นรัฐมนตรีฯ แสดงให้เห็นว่า นายเศรษฐา ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160 (4)
ย่อมเป็นกระทำการฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯ พ.ศ. 2561 หมวด 1 ข้อ 8 ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งข้อ 27 วรรคหนึ่ง กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา นายกฯ สิ้นสุดลงลงเฉพาะตัว และเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงแล้ว “รัฐมนตรี” ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ
สำหรับตุลาการฯ เสียงข้างมาก จำนวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ และ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นว่า ความเป็น รัฐมนตรีของ นายเศรษฐา นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
ส่วนตุลาการฯ เสียงข้างน้อย 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายอุดม รัฐอมฤต และ นายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ ไม่สิ้นสุดลง
เริ่มศักราชนายกฯ คนที่ 31
เมื่อรัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา สิ้นสุดลง ทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และโหวตเลือก “นายกฯ คนที่ 31” โดยยังคงมีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำรัฐบาลต่อไป ประกอบด้วยพรรคร่วม 11 พรรค จำนวนเสียง สส. 314 เสียง
ขณะที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาว ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 23 ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 ถือเป็น “สตรี” คนที่ 2 ต่อจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย
การเลือกนายกฯ คนใหม่ โดยที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีขึ้นในวันที่ 16 ส.ค. 2567
ยุบก้าวไกล-ตัดสิทธิ 11 คน
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เสียง สั่งยุบพรรคก้าวไกล ในคดีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขอให้พิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)
จากเหตุมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ(2) จากกรณี เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล 44 คน ร่วมลงชื่อ
ภายหลังศาลมีคำสั่งยุบพรรค ก็ได้สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง กก.บห. เป็นเวลา 10 ปี ประกอบด้วย สส.บัญชีรายชื่อ 5 คน คือ 1.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ขณะนั้น 2.นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค 3.น.ส.เบญจา แสงจันทร์ 4.นายสุเทพ อู่อ้น 5.นายอภิชาต ศิริสุนทร และ สส.เขต 1 คน คือ 6.นายปดิพัทธ์ สันติ ภาดา ส.ส.พิษณุโลก ที่ไปสังกัดพรรคเป็นธรรม
ส่วน กก.บห.ที่ไม่ได้ เป็น สส. ประกอบด้วย 7.นายณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค 8.นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค 9.นายสมชาย ฝั่งชลจิตร 10. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล และ 11.นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ กก.บห.พรรค สัดส่วนภาคเหนือ
ทำให้จำนวน สส.ของพรรคก้าวไกล จากที่มีเสียงในสภาปัจจุบันรวม 148 คน เหลือ 143 คน ซึ่งทั้งหมดก็ได้ย้ายเข้าสังกัด “พรรคประชาชน” โดยผลักดันให้ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่
การเมืองร้อนในเดือน “สิงหาคม 2567” ปิดฉากลงด้วยการยุบพรรคก้าวไกล ก่อให้เกิดพรรคใหม่ของค่ายสีส้ม และการพ้นจากตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของ เศรษฐา ทวีสิน ทำให้ถึงเวลาของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ต้องขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ...