ป.ป.ช.ฟันอดีต ผอ.สำนักพุทธ ทุจริตเงินทอน 8 วัด เสียหายกว่า 30 ล้านบาท

20 ธ.ค. 2566 | 09:33 น.

ป.ป.ช.ชี้มูล “นพรัตน์ เบญจนานันท์”อดีต ผอ.สำนักพุทธ กับพวก คดีโกงเงินทอน 8 วัด ยอดความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท หักค่าหัวคิวคืน วัดละ 90 %


วันนี้(20 ธ.ค.66) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทั้งอาญา และวินัยร้ายแรงต่อ นายนพรัตน์ เบญจนานันท์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก ร่วมกันทุจริตเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด ประจำปี 2557 ของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่จัดสรรให้กับ 8 วัด ประกอบด้วย

วัดโพธิ์ทอง, วัดตำหนัก (ภาวนาราม) และ วัดจงกลณี จ.พระนครศรีอยุธยา วัดเพลง(กลางสวน) กรุงเทพมหานคร วัดใหญ่ จ.สมุทรปราการ วัดเกาะแก้วอรุณคาม จ.สระบุรี วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม และ วัดกลางเหนือ จ.สมุทรสงคราม 
 


โดยในกรณีของวัดโพธิ์ทอง วัดตำหนัก และ วัดจงกลณี นายนพรัตน์ ได้อนุมัติจ่ายเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวัดละ 1,000,000-2,000,000 บาท ทั้งที่วัดไม่ได้ยื่นคำขอรับเงินอุดหนุนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ผ่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการ เจ้าสังกัดและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองตามลำดับ โดยมีเงื่อนไขว่า วัดที่ขอรับเงินอุดหนุนจะได้รับเงินอุดหนุนเพียงร้อบละ 10 ของเงินที่ได้รับเท่านั้น 

ส่วนอีกร้อยละ 90 จะต้องส่งคืนให้กับสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อนำไปสนับสนุนวัดในถิ่นทุรกันดาร และวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  

หลังได้รับเงินมีการแจ้งเจ้าอาวาสให้เบิกเงินอุดหนุนดังกล่าวมาคืนให้ น.ส.ประนอม คงพิกุล โดยวัดโพธิ์ทองได้รับเงิน 90,000 บาท วัดตำหนักได้เงิน 100,000 บาทวัดจงกลณี ได้รับเงิน 2,000,000 บาท แต่ต้องจ่ายคืนให้กับ น.ส.ประนอม 1,600,000 บาท ทำให้ได้รับเงินจริงเพียง 400,000 บาท  

ส่วนอีก 5 วัดที่เหลือ เป็นกรณีอ้างว่า วัดขอรับเงินอุดหนุนเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์เนื่องจากประสบวินาศภัย โดยวัดห้วยจระเข้ วัดใหญ่ วัดละ 4,000,000 บาท วัดเพลงและ วัดเกาะแก้วอรุณคาม วัดละ 5,000,000 บาท วัดกลางเหนือ 1,000,000 บาท  ทั้งที่ในข้อเท็จจริง วัดไม่เคยมีคำขอรับเงินอุดหนุนและไม่ได้ประสบวินาศภัย  

ดังนั้น การกระทำของ นายนพรัตน์ กับพวก เป็นการอนุมัติเงินอุดหนุนวัดไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แม้ภายหลังวัดจะเบิกเงินมาใช้ในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดจริง โดยไม่ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รัฐไปเรียกรับเงิน หรือขอเงินคืนจากงบประมาณที่ได้รับไปก็ตาม 

แต่ ป.ป.ช.ก็เห็นว่า การกระทำของ นายนพรัตน์ ทั้ง 8 สำนวนคดี มีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา   147 มาตรา 151 มาตรา 157 มาตรา 162(1)(4) ประกอบมาตรา 83 พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 423/1 

รวมทั้งมีการชี้มูลความผิดอาญาพระครูปลัดวิสุทธิวัฒน์ (ไพโรจน์ บุญโสม) พระมหาสมบัติอาภากโร(สมบัติ ระสารักษ์) นางวรัญญู เพชรรัตน์ นางสาวประนอม คงพิกุล นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ตามมาตรา 147   มาตรา 151 มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พ.ร.ป.ป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 423/1 

รวมถึงชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงต่อ นายนพรัตน์ นางสาวประนอม และ นายวสวัตติ์ เพิ่มด้วย โดย ป.ป.ช.ได้ส่งรายงานการไต่สวนสำนวนเอกสารและคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีในศาลที่มีเขตอำนาจ 

รวมถึงส่งไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินคงวามผิดทางวินัยตามฐานความผิด พร้อมแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 ด้วย