นพดล โต้ "ชูวิทย์" กล่าวหา "เศรษฐา ทวีสิน" ไม่มีมูล หวังดิสเครดิตการเมือง

05 ส.ค. 2566 | 09:08 น.

นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โต้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไม่มีมูล หวังดิสเครดิตการเมือง หลังกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย มีพฤติกรรมเข้าข่ายนิติกรรมพราง

จากการที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เดินหน้าเปิดปฏิบัติการกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยได้รับการเสนอชื่อโหวตเลือกในสภาผู้แทนราษฎร ว่าเมื่อครั้งนายเศรษฐา เป็นซีอีโอของบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน)  ได้มีพฤติกรรมเข้าข่ายลักษณะ “นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงภาษีทำให้รัฐสูญรายได้มากถึงกว่า500ล้านบาท 

ล่าสุด นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายชูวิทย์กล่าวถึงข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ข้อกล่าวหาไม่มีมูล พร้อมระบุว่า นายเศรษฐาไม่ได้สมรู้ร่วมคิด หรือเป็นตัวการหรือสนับสนุนให้มีการเลี่ยงภาษีใดๆ

นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

เนื่องจาก บริษัทแสนสิริเป็นผู้ซื้อที่ดิน หน้าที่ในการชำระภาษีจากค่าที่ดินที่ผู้ขายได้รับเป็นหน้าที่ของผู้ขาย ส่วนผู้ซื้อมีหน้าที่ไปรับโอน และชำระเงินค่าที่ดินเท่านั้นเอง การโอนที่ดินให้แสนสิริก็เป็นการซื้อขายที่ดินปกติที่ทำกันเปิดเผย ตรงไปตรงมาที่กรมที่ดิน มีการบันทึกการซื้อขาย เสียภาษีที่กรมที่ดิน 

นายนพดล กล่าวถึง ส่วนที่กล่าวหาว่านายเศรษฐาไปเกี่ยวข้องในการเลี่ยงภาษีโดยอ้างรายงานการประชุมว่า ข้อเท็จจริงคือนายเศรษฐา เข้าประชุมรับทราบการที่แสนสิริจะไปซื้อที่ดินแปลงนี้ โดยเป็นการประชุมครั้งเดียวในการอนุมัติเงินในการซื้อ เพราะฉะนั้นนายเศรษฐาไม่ได้ไปเกี่ยวข้องการโอนที่ดินหรือการดำเนินการใดๆของฝ่ายผู้ขายเลย

พร้อมระบุ ตนไม่เห็นว่าจะมีนิติกรรมอำพรางตรงไหน เพราะไม่มีนิติกรรมอันหนึ่งซ้อนอำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง ถ้ามีใครรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ก็สามารถเปิดเผยตั้งนานแล้ว ไม่เห็นจะต้องกำความลับหรืออะไรไว้ แล้วมาเปิดเผยช่วงนี้ที่พรรคเพื่อไทยกำลังจะเสนอนายเศรษฐาขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเป็นนายกรัฐมนตรี

นายนพดล กล่าวว่า การโจมตีนายเศรษฐาในช่วงเวลานี้ มองเป็นเรื่องอย่างอื่นยาก นอกจากเรื่องการเมือง แต่ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลคงไม่กระทบการเดินหน้าเสนอชื่อเสนอนายเศรษฐาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา นายเศรษฐาเป็นบุคคลสาธารณะ พร้อมถูกตรวจสอบ และหากต้องการตรวจสอบว่าผู้ขายเลี่ยงภาษีให้ไปถามกรมสรรพากรได้เลย ทำความจริงให้ปรากฏ ยิ่งเร็วยิ่งดี

“แฉเพื่อชาติ” EP.1

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ได้ตั้งประเด็นในการแถลงข่าว “แฉเพื่อชาติ” EP.1 ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการโอนที่ดิน “12 คน โอน 12 วัน” อ้างว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ในโฉนดหมายเลขเดียวกัน คือ โฉนดเลขที่ 16515 เป็นโฉนดแปลงเดียว

ตั้งอยู่ในถนนสารสิน ทั้งหมด 399.7ตารางวา มูลค่ากว่า 1,570 ล้านบาท ซึ่งเห็นว่า เป็นตารางวาแพงที่สุดในประเทศไทย คือตารางวาละ 4 ล้านบาท หรือ เท่ากับบ้าน 2 ชั้น 1 หลัง และตั้งข้อสังเกตว่า อาจเข้าข่ายนิติกรรมอำพราง

เนื่องจาก หากโอนกรรมสิทธิ์ให้บุคคลรวม 12 คนใน 1 วัน จะทำให้เข้าเงื่อนไข เป็นคณะบุคคล หรือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จะต้องจ่ายภาษีให้กรมที่ดิน 59.2 ล้านบาท และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภงด.90 อัตราก้าวหน้า 35% ต่อสรรพากร คิดเป็นมูลค่า 521 ล้านบาท รวมภาษีทั้งหมด 580 ล้านบาท 

แต่บุคคลรวม 12 คน กับแยกการโอน 12 วัน ติดต่อกัน คือ 1 วัน 1 คน สัปดาห์ละ 5 วัน ก็ไม่เข้าเงื่อนไขเป็นคณะบุคคล จ่ายภาษีเพียงแค่ 59.2 ล้านบาทเท่านั้น อาจเข้าข่ายว่าเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีมูลค่า 521 ล้านบาท