เรืองไกรเปิดหลักฐานเตือนความจำ"พิธา"โอนหุ้น 25 พ.ค. 66 ไอทีวีเข้าข่ายสื่อ

12 มิ.ย. 2566 | 06:13 น.

"เรืองไกร"เปิดหลักฐานเตือนความจำ "พิธา" โอนหุ้น 25 พ.ค.66 ชี้ไอทีวีเข้าข่ายสื่อมวลชนใดๆ ยกเคส “ธนาธร” ถือหุ้นวีลัคเป็นตัวอย่าง ศาลรธน.ฟันหลุดตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องออกอากาศ เย้ย“ก้าวไกล-พิธา”คนเก่งในพรรคเป็นร้อย แต่หาคนแม่นกฎหมายไม่ได้

วันนี้ (12 มิ.ย.66 ) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดหลักฐานการโอนหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล โดยเป็นหลักฐานจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด 

                           เรืองไกรเปิดหลักฐานเตือนความจำ\"พิธา\"โอนหุ้น 25 พ.ค. 66 ไอทีวีเข้าข่ายสื่อ

ระบุว่า นายพิธา โอนหุ้นจำนวน 42,000 หุ้นให้กับ นายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชาย ในวันที่ 25 พ.ค. 2566 รวมถึงเปิดงบการเงินฉบับย่อของ บริษัท ไอทีวี และ บริษัทย่อย ที่ระบุว่า 24 ก.พ.2566 มีการนำเสนอการลงสื่อให้กับกิจการที่เกี่ยวข้อง และวันที่ 28 เม.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา

นายเรืองไกร กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ เพื่อเตือนความจำนายพิธา และ พรรคก้าวไกล ที่ตอบว่าจำไม่ได้ว่าโอนหุ้นไปเมื่อไหร่ ส่วนเอกสารงบการเงินฉบับย่อ ที่ตนนำมาเปิดเผยเป็นการบ่งชี้ว่า บริษัทมีการดำเนินธุรกิจสื่อ

                      เรืองไกรเปิดหลักฐานเตือนความจำ\"พิธา\"โอนหุ้น 25 พ.ค. 66 ไอทีวีเข้าข่ายสื่อ

"เอกสารสำคัญที่ควรจะดูก็คือ หมายเหตุประกอบงบการเงินไม่ใช่คำถามท้ายรายงานการประชุม ที่มีการนำออกมาเผยแพร่กันในขณะนี้ โดยหมายเหตุข้อ 10 ซึ่งออก ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 ระบุว่า 24 ก.พ.2566 เขาทำธุรกิจสื่อแล้วตามที่เขาอธิบายเป็นสื่อมวลชน ไม่ได้กลับมาทำสถานีไอทีวีแล้ว เขาทำสื่ออื่นแล้ว " นายเรืองไกร กล่าว

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) กำหนดเพียงห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์ หรือ สื่อมวลชนใดๆ ซึ่งกรณีนี้เข้าลักษณะของสื่อมวลชนใดๆ

และการที่ กกต. ตีตก 3 คำร้องถือหุ้นสื่อของนายพิธา ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อกกต.ประกาศรับรองผล ส.ส. นายพิธา มีสถานะเป็นส.ส.แล้ว ตนก็จะยื่นร้องใหม่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ซึ่งยิ่งจะเป็นผลดี เพราะเรื่องจะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจะมีความแน่นอนกว่าการไปศาลฎีกา 

ทั้งนี้ กรณีที่มีการเปิดคลิปรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นออกมากันในขณะนี้ ไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นที่ร้อง เพราะกฎหมายเขียนว่า ห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนใดๆ พยานหลักฐานที่ควรไปดูคือ 

1.นายพิธา ถือหุ้นตามทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นตามรายงานการประชุม 

2.ทำธุรกิจสื่อมวลชนใดๆ ก็ไปดูวัตถุประสงค์การจดทะเบียนบริษัท และดูจากหมายเหตุงบการเงิน 

ส่วนการประชุมผู้ถือหุ้น ถามตอบแล้ว แล้วจดถูกผิดบ้างก็เป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นกับบริษัท ซึ่งเมื่อมีการจดผิด ผู้ถือหุ้นรายนี้ก็ต้องไปแจ้งให้มีการแก้ไขรายงานการประชุม ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่า เขาจดผิดเพราะมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมันจะเกี่ยวอะไร ก็เหมือนกับการประชุมกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ที่หลังการประชุมก็จะให้สมาชิกมาตรวจดูว่า มีการจดรายงานการประชุมถูกต้องหรือไม่ ถ้าจดผิดก็ให้ไปแก้ไขก็เท่านั้นเอง 

เมื่อถามว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยในขณะนี้ เหมือนต้องการชี้ว่า บริษัท ไอทีวี ไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว การจะทำสื่อหรือไม่จะต้องดูที่รายได้ ดูวัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท เหมือนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ซึ่งศาลก็ไม่ได้ดูที่รายงานผู้ถือหุ้นที่มีการถามตอบกัน 

ส่วนที่ระบุว่าศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2556 ว่า บริษัทไอทีวี ปิดไปแล้วไม่ปรากฏหลักฐานการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ นายพิธา ถือหุ้นแล้วไม่ผิด เพราะกฎหมายห้ามผู้สมัครไม่ให้ถือหุ้นสื่อ ซึ่งนายพิธา ก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี 42,000 หุ้น โดยไม่ได้มีการระบุท้ายการถือหุ้นว่า เป็นผู้จัดการมรดก และหมายเหตุงบการเงินปี 2566 ของบริษัทก็ระบุว่า บริษัททำสื่อมวลชนแขนงอื่นนอกจากสถานีไอทีวีแล้ว เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2566 และจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้ 

"คำว่าสื่อมวลชนหมายความว่าอะไร ตอนรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุถึงวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และเดี๋ยวนี้คำว่าแมสมีเดีย มันมีทั้งแอนนาล็อค และดิจิทัล ซี่งก็เข้าตามวิชาการอยู่แล้ว 

และถามว่าสมัยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการถือหุ้นของ นายธนาธร บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ก็ไม่ได้ทำสถานีโทรทัศน์เหมือนกับไอทีวี หรือพิมพ์หนังสือเหมือนมติชน หรือไทยรัฐ แต่เขาพิมพ์หนังสืออื่น จึงไม่ต้องไปดูว่า ไอทีวีมีการออกอากาศ หรือ ยุติการออกอากาศแล้ว จะแก้ประเด็นเอาเก่งๆ แม่นๆ หน่อย ในพรรคมีคนตั้งเป็นร้อย คนเชียร์ตั้ง 14 ล้าน หาคนเก่งไม่ได้เลยหรือ” นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้าย