"อุปกิต"หลั่งน้ำตา ตกเป็นเหยื่อการเมือง ปัดเอี่ยวธุรกิจสีเทา

17 มี.ค. 2566 | 06:56 น.

"ส.ว.อุปกิต ปาจรียางกูร "แถลงทั้งน้ำตา ตกเป็นเหยื่อการเมือง ท้าสาบานหากเอี่ยวยาเสพติดให้ผู้กล่าวหามีอันเป็นไป ยันให้"พีรพันธ์"เช่าอาคารไม่รู้มาก่อนเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ ยันไม่รู้จัก"บิกตู่" เป็นการส่วนตัว

นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แถลงข่าวกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวหาและบางสื่อได้ตัดสินว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จึงไม่ขอก้าวล่วงมากนัก
 

ก่อนที่จะชี้แจงเรื่องข้อกล่าวหาต่างๆ นายอุปกิตได้พูดถึงกรณีที่ลูกเขยถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่ลูกเขยอยู่ที่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านพักของตนเอง และลูกเขยของได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มานานแล้ว ซึ่งในขณะจับกุม ลูกเขยก็ได้เดินเล่นกับลูกซึ่งก็คือหลานของตัวเอง 

เมื่อนายอุปกิตพูดถึงเรื่องดังกล่าว ก็ถึงขั้นร้องไห้ออกมา เพราะรู้สึกสงสารหลาน โดยระบุว่า หากเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ลูกเขยคงไม่ต้องอยู่ในคุกมา 7 เดือน เพราะหากตำรวจอยากช่วยก็มีอำนาจจับกุมแล้วประกันตัวได้ และหากจะช่วยกันก็ช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ลูกเขยอยู่ในคุกมา 7 เดือน หลานเล็กๆก็ร้องไห้ทุกวัน แม่ของหลาน ก็โทรมาร้องไห้ทุกวัน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย 
 

"อุปกิต"หลั่งน้ำตา ตกเป็นเหยื่อการเมือง ปัดเอี่ยวธุรกิจสีเทา

นายอุปกิตชี้แจงว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป จำกัด และตำรวจก็ไม่ได้ช่วยแยกคดีนี้ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง ทั้งหมดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร

ส่วนกรณีที่มีการกล่างอ้างว่า มีตำรวจที่ทำคดีดังกล่าวถูกโยกย้าย นายอุปกิต ยืนยันว่าไม่มีอำนาจหรือกดดันให้ใครย้ายตำรวจคดีนี้ แต่ตำรวจที่ถูกย้ายเป็นการย้ายไปตามวงรอบไม่ใช่ย้ายเพราะการลงโทษ หากมีอิทธิพลจริงก็คงย้ายออกไปไกลๆ ขณะเดียวกัน ตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ 

ส่วนกรณีนายรังสิมันต์โจมตีทำให้เสียหายอย่างมากนายอุปกิต กล่าวว่า กรณีการออกหมายจับแล้วยกเลิกหมายจับในวันเดียวกันนั้น เนื่องจากมีการตกแต่งคำพูดในแชทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อนำมาปั้นเป็นหลักฐานให้มีความผิด 

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่านำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมา นายอุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า 
 

"อุปกิต"หลั่งน้ำตา ตกเป็นเหยื่อการเมือง ปัดเอี่ยวธุรกิจสีเทา

นายอุปกิต กล่าวว่า ขณะที่คดีของนายทุนมินลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่

พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆไปฟ้องต่อศาล  ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ 

และมีข้อสงสัยว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะการเผยแพร่เอกสารหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามขั้วรัฐบาลออกมาโหนกระแส ตนและครอบครัวจึงขอความเป็นธรรมตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียงและยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่าวและแทรกแซงได้ โดยเฉพาะตนเอง 

นายอุปกิต เปิดเผยอีกว่า วันนี้ ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ วันนี้ (17 มี.ค.)

สำหรับสื่อมวลชนที่ได้ฟ้องแล้ว และกำลังจะยื่นฟ้อง เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ดังนั้น ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะตนต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตน

หลังการแถลงเสร็จสิ้น นายอุปกิตได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า 

“ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายชาคริส กาจกำจรเดช คือใคร นายอุปกิต กล่าวว่า นายชาคริส คือคนที่เคยเช่าอัลลัวร์ และเป็นหุ้นส่วน 15% ของอัลลัวร์เมื่อก่อนที่ตนเคยทำอยู่ และตนยอมรับว่า เป็นความสะเพร่าของตน เพราะตนจะขายให้กับนายชาคริส ก่อนมารับตำแหน่ง ส.ว.

ขณะเดียวกัน การถือหุ้นไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากให้มีข้อครหา แต่ปรากฎว่า สัญญาเป็นโมฆะ จึงโอนให้กับลูกเขย จากนั้น ได้ขายให้กับนายเอ็ดดี้ พันณรงค์ เป็นเงินสดที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งตนก็ไม่รู้เบื้องหลังว่าเงินดังกล่าวมาจากส่วนไหน

พร้อมชี้แจงว่าการแจ้งบัญชีทรัพย์สินตอนเข้ารับตำแหน่งส.ว.แจ้งไว้ว่าจะขาย แต่ช่วงเป็นส.ว.ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ตนจึงตั้งใจว่าจะยื่นชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินหลังจากออกจากตำแหน่ง ส.ว.ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก 

นายอุปกิต ยังยืนยันอีกว่า ตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ติดต่อขอเช่าโดยแจ้งว่า ใช้เป็นออฟฟิศส่วนตัว ยืนยันว่า ได้ทำสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมายมาปีกว่าก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งไม่ทราบมาก่อนว่า จะเปลี่ยนเป็นที่ทำการพรรค พร้อมยินดีให้ตรวจสอบสัญญาเช่า

ทั้งนี้ ไม่ได้รู้จัก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นการส่วนตัว แต่คิดว่า ที่ถูกได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.เพราะมีความชำนาญด้านการต่างประเทศและการไฟฟ้ายืนยันได้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ตนเองตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอย่างแน่นอน