เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาคอการเมืองได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ หรือ ลุงเอก อดีตผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า หลังจากที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งกล่องเสียงและเข้ารับการรักษาตัวมาได้ระยะหนึ่ง
พล.อ.เอกชัย ได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็น "นายทหารนักสันติวิธี" ขับเคลื่อนแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ เคยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2491
จบการศึกษาวิทยาศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิตทางรัฐประศาสนศาสตร์ (รัฐประศาสนศาสตร์) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า, บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (การบริหารธุรกิจ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, การจัดการมหาบัณฑิต (การจัดการทรัพยากรมนุษย์) มหาวิทยาลัยมหิดล
พล.อ.เอกชัย เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ต.ท.10) รุ่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำงานด้านเศรษฐกิจพอเพียงที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก่อนจะมาเป็น ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า
ภายหลังหันมาสนใจเรื่อง "ยุทธศาสตร์ของประเทศ" โดยมองว่า การพัฒนาระบบทุนนิยมตามแบบตะวันตกโดยไม่เข้าใจลักษณะเฉพาะของประเทศไทย จึงนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและความไม่สงบทางสังคมดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พล.อ.เอกชัย จึงได้เสนอ "เศรษฐกิจวิถีที่มีชีวิต" ยุทธศาสตร์การพัฒนาทุนนิยมที่สอดคล้องกับความเป็นไทย
พล.อ.เอกชัย เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไว้ว่า ชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 2535 จากที่เดิมเป็นคนใจร้อนมากและชอบโต้ตอบแต่วันนี้จะนิ่งตลอด ใครว่าอะไรจะนิ่งเฉย เพราะยึดคำสอนของพระโพธิญาณเถร หรือ หลวงพ่อชา สุภัทโท อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจเสมอว่า
เมื่อถูกใครว่า หรือมองเราไม่ดี ถ้าไม่จริงก็นิ่งเสียแต่ถ้าจริงก็แก้ไขตัวเองใหม่ และเวลามองนอกกายขอให้มองสิ่งดี ๆ เวลามองตัวเองให้มองสิ่งไม่ดี เพื่อนำมาปรับปรุงตัวเอง และก็จะไม่มองคนอื่นร้าย หรือทำร้ายใคร เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็จะมีความสุข
คติประจำใจ คือ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อว่า โดยที่ตัวเราเองต้องมีความอดทนและนิ่งเพื่อทิ้งเวลาไว้เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วความจริงจะเปิดเผยออกมาเอง
ประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งที่ผ่านมา
ประการณ์การเคลื่อนไหวที่สำคัญ