"ธีระชัย"บี้รัฐหากบังคับโรงกลั่นส่งกำไรไม่ได้ ต้องออกพรก.เก็บภาษีลาภลอย

06 ก.ค. 2565 | 03:57 น.

อดีตขุนคลัง "ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล "ชี้กระทรวงคลังต้องเสนอรัฐบาลออก "พรก.เก็บภาษีลาภลอย"แทน หากกฎหมายบังคับให้โรงกลั่นนำกำไรส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันไม่ได้ เผยทั้ง ประยุทธ์-สุพัฒน์พงษ์-อาคม เคยดำรงตำแหน่งในกลุ่มบริษัทพลังงาน คำพูดจึงไม่ทำให้ประชาชนเชื่อถือ

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงทางออกในการให้กลุ่มโรงกลั่นนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อตรึงราคาน้ำมันที่อยู่ระดับสูงในขณะนี้ว่า

 

พลเอกประยุทธ์ถอดหมวกอดีตกรรมการโรงกลั่นน้ำมันหรือยัง!

 

เมื่อวานนี้ พลเอกประยุทธ์จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก โดยข่าวระบุด้วยว่า

 

“นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการกฤษฎีกากล่าวถึง กรณีกระทรวงการคลังสอบถามความเห็นเรื่องการใช้กฎหมายบังคับให้โรงกลั่นนำกำไรส่วนเกินจากค่าการกลั่นเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่า

 

กระทรวงพลังงานเพิ่งส่งหนังสือสอบถามความเห็นไป คาดว่าจะใช้เวลาตอบกลับไม่นาน ไม่น่าจะถึง 1 เดือน”

 

ผมตั้งข้อสังเกตดังนี้

 

1 กระทรวงการคลังตั้งคำถามได้ถูกต้องแล้ว ส่วนการจะบังคับให้โรงกลั่นนำกำไรส่วนเกินจากค่าการกลั่นเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น ถ้าหากสำนักงานกฤษฎีกาตอบว่ากฎหมายปัจจุบันทำไม่ได้

 

กระทรวงการคลังก็จะต้องเสนอให้รัฐบาลออกเป็นพระราชกำหนดเพื่อเก็บภาษีลาภลอย เพราะประชาชนมอบอำนาจมหาชนของรัฐให้ไว้แก้ปัญหาแล้ว

 

2 การจะเก็บกำไรส่วนเกิน หรือภาษีลาภลอย นั้น กระทรวงการคลังจำเป็นต้องแสดงข้อมูลแก่ประชาชน ว่ากำไรส่วนที่เหมาะสมนั้นเป็นเท่าไหร่ เก็บภาษีเต็มที่หรือยัง เพื่อให้โปร่งใสว่าประชาชนได้รับความเป็นธรรมครบถ้วนหรือไม่

 

 

 

 

3 สภาวะการขาดแคลนกำลังกลั่นน้ำมันในประเทศสหรัฐและยุโรป มีแต่จะหนักขึ้น โรงกลั่นในตลาดสากลจึงจะสามารถบวกกำไรค่าการกลั่นสูงขึ้นไปได้อีกในอนาคต และจะยังทำได้อีกเป็นเวลานาน เพราะตะวันตกไม่สนับสนุนการสร้างโรงกลั่นขึ้นใหม่

 

ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องดูแลให้มีการเก็บกำไรลาภลอย ให้ครอบคลุมตลอดระยะเวลา มิใช่เพียงชั่วไม่กี่เดือน ประเดี๋ยวประด๋าว

 

4 กรณีที่รองนายกฯ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่าโรงกลั่นในไทยกำไรแค่ 1-2 บาทต่อลิตร นั้น เนื่องจากนายสุพัฒนพงษ์ นายอาคม รัฐมนตรีคลัง รวมทั้งพลเอกประยุทธ์เอง เคยดำรงตำแหน่งในกลุ่มบริษัทพลังงาน คำพูดของคณะรัฐมนตรีจึงไม่ทำให้ประชาชนเชื่อถือ

 

(นายอาคมเคยเป็นกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ค่าตอบแทนปี 2555 เป็นเงิน 2,695,000.00 บาท เป็นต้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในหลายโรงกลั่น)

 

ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงควรจัดให้มีผู้สอบบัญชีระดับสากล เพื่อทำการตรวจสอบ และประกาศตัวเลขที่เกี่ยวข้องแก่ประชาชน

 

อนึ่ง ในวันนี้ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เสนอแนวทางบริหารจัดการเรื่องพลังงานที่เหมาะสมหลายเรื่อง ยกเว้น :-

 

ข้อ 2 ปรับราคาหน้าโรงกลั่นในไทย ให้เท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ไม่ต้องมีค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าระเหย เรื่องนี้เป็นการเอาเปรียบประชาชนมาเป็นสิบปีแล้ว และต้องแก้ไข

 

วิธีแก้ไขอย่างนี้ เปิดช่องให้โรงกลั่นไทยได้กำไรลาภลอย โดยคนไทยเป็นผู้ควักกระเป๋า จึงใช้ไม่ได้

 

ปัญหาเกิดจากประเทศตะวันตกไม่ลงทุนสร้างโรงกลั่นใหม่มานานแล้ว เพราะมาตรการโลกร้อน ทำให้ตลาดทุนและระบบธนาคารตะวันตกไม่สนับสนุนเงินทุน

 

แหล่งที่มีกำลังการกลั่นเกินการใช้ในประเทศ เช่น สิงคโปร์ อินเดีย จึงฉวยโอกาสบวกกำไรค่าการกลั่นแบบเต็มเหยียด ทำให้ได้กำไรลาภลอย

 

ปัญหานี้หนักขึ้น จากสงครามยูเครน เมื่อยุโรปเปลี่ยนจากน้ำมันรัสเซียไปเป็นแหล่งอื่น เครื่องจักรของบางโรงกลั่นต้องใช้เวลาแก้ไขเพื่อรองรับน้ำมันแหล่งใหม่

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐและยุโรปจึงสูงขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ปีก่อน และปีนี้ก็สูงขึ้นไปอีก ทุกโรงกลั่นจึงฉวยโอกาสบวกกำไรค่าการกลั่นเข้าไปอย่างหนัก

 

ดังนั้น ข้อเสนอแก้ไข ให้อ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ถึงแม้ถ้าหากจะไม่มีค่าขนส่ง ค่าประกันภัย หรือค่าระเหย ก็ตาม แต่ก็ยังไม่ปิดประตูโรงกลั่นไทย ที่จะบวกกำไรค่าการกลั่นแบบลาภลอย

 

ทั้งนี้ รัฐต้องไม่ยินยอมให้โรงกลั่นในประเทศไทยบวกกำไรค่าการกลั่นแบบลาภลอย เพราะไม่ได้เกิดจากการทำงานหนักขึ้น หรือการใช้สมองมากขึ้น แต่ควักเอาจากประเป๋าของคนไทยเต็มๆ

 

ที่มา :  เฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala