สาธิต ชี้อย่าตื่น“โรคฝีดาษลิง” ยังไม่พบในไทย ย้ำคัดกรองเข้มคนจาก 17 ประเทศ

24 พ.ค. 2565 | 03:49 น.

รมช.สาธารณสุข ขอประชาชนอย่าตระหนก "โรคฝีดาษลิง"ไม่มีอะไรที่น่าตื่นตกใจ และยังไม่พบการระบาดในไทย ยัน คัดกรองเข้มข้นคนจาก 17 ปท. เตรียมประชุมสสจ.ประสานคลินิกโรคผิวหนัง-กามโรค

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) การระบาดของ"โรคฝีดาษลิง"ที่กำลังระบาดในต่างประเทศ ว่า ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขโดยไม่ตื่นตระหนก

 

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้งคณะกรรมการพนักงานปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง ซึ่งเป็นระดับกรมที่มี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมีรองอธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นที่ปรึกษา

 

นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข

 รวมถึงมีหน่วยคัดกรอง ฝ่ายติดตาม และฝ่ายกำหนดแผน ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะพยายามติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าว ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ โดยเรากำลังติดตามและพยายามคัดกรองบุคคลที่มาจากประเทศเสี่ยง 17 ประเทศ ซึ่งแต่ละสนามบินมีด่านคัดกรองของกรมควบคุมโรคที่กำลังทำหน้าที่ตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้นมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ทางกระทรวงจะมีประชุมแจ้งเตือนและกำชับสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศให้ไปทำความเข้าใจและติดตามข้อมูลจาดคลินิกโรคผิวหนังและคลินิกกามโรคภายใประเทศว่าพบโรคนี้เข้ามาบ้างแล้วหรือไม่

 

นอกจากนี้อาจต้องมีการ พิจารณาว่าควรปรับนิยามของโรคนี้ให้ไปอยู่ในนิยามของคำว่าโรคติดต่อร้ายแรงหรือไม่ อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าสถานการณ์ในประเทศขนาดนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าตื่นตกใจ และยังไม่พบการระบาดของโรคดังกล่าวภายในประเทศไทย แต่ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลคำชี้แจงของกรมควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด รวมถึงสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศ 

นายสาธิต กล่าวว่า การฉีดวัคซีนของประชาชนที่เกี่ยวกับโรคฝีดาษนั้น ที่จริงเป็นการปลูกฝีที่มีขึ้นในช่วงปี 2523 ซึ่งผู้ที่เกิดจากหลังจากปีดังกล่าวจะไม่ได้รับการปลูกฝีประเภทนี้ โดยการปลูกฝีไม่ได้ช่วยป้องกันโรค แต่ช่วยป้องกันอาการรุนแรงของโรคได้ 80 เปอร์เซ็นต์


ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาชนจะสามารถสังเกตอาการตัวเองได้อย่างไร นายสาธิต กล่าวว่า ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์ ระบุให้สังเกตว่ามีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีตุ่มฝีภายใน 1 สัปดาห์หรือไม่ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้แยกแยะจากอาการของโรคอื่นได้ยาก จึงอาจทำให้ต้องคอยฟังคำเตือนจากกรมควบคุมโรคและคณะกรรมการพนักงานปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินฯด้วย