พรรคกล้าจี้รัฐเร่งวิจัย“ฟ้าทะลายโจร”ส่งขายทั่วโลก

22 ก.ค. 2564 | 05:51 น.

พรรคกล้า เสนอรัฐ ให้โอกาส “ฟ้าทะลายโจร” สมุนไพรพื้นบ้านช่วยชีวิตคนไทยหายจากโควิด จี้เร่งวิจัยต่อยอดตามมาตรฐานสากล ดันส่งขายทั่วโลก เชื่อกู้วิกฤตเศรษฐกิจประเทศได้ พร้อมหนุนสมุนไพรอื่น กระชายขาว ขิง ข่า เป็นเครื่องดื่มสู้โควิดระดับโลก

     วันที่ 22 ก.ค.2564 นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า อดีตประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึงวันละกว่า 10,000 คน นอกจากจะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนคุณภาพมาฉีดให้กับประชาชนฟรีแล้ว อีกหนึ่งความหวังที่จะรอดพ้นจากไวรัสร้าย คือ ฟ้าทะลายโจร ที่มีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล ว่า สามารถสกัดเชื้อไวรัสไม่ให้ลงปอด หากสามารถกินในระยะเริ่มต้น ส่งผลให้ปริมาณความต้องการสูง จนผลิตไม่ทัน จึงเป็นช่องว่าง ให้ผู้ค้าบางรายฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าเกินราคา บางกรณีหลอกให้โอนเงินมัดจำแล้วเงียบหาย ที่น่ากังวลคือ เริ่มมีฟ้าทะลายโจรที่ไม่ได้มาตรฐานมาสวมรอยจำหน่ายในช่องทางออนไลน์  และวางขายทั่วไปตามท้องตลาดอีกด้วย 

 

นายวรวุฒิ กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลต้องมีมาตรการควบคุม เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพที่อาศัยช่วงวิกฤตสวมรอยทำธุรกิจขายยาคุณภาพต่ำ เพื่อปั๊มเงินออกมาขายเร็ว ๆ แบบไม่คำนึงถึงคุณภาพ กระทรวงพาณิชย์อยู่ไหน ทำไมไม่จัดระเบียบ กำหนดมาตรฐาน และต้องใช้ไม้แข็งว่า หากใครซ้ำเติมภาวะวิกฤตด้วยการขายยาปลอมไม่ได้มาตรฐาน และยังกักตุนสินค้าเพื่อโก่งราคาเอาเปรียบผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์ยากลำบาก จะต้องได้รับโทษอย่างหนัก กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานอาหารและยา (อย.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สมาคมร้านขายยา และพลังของสังคมอีกหลายปาร์ตี้ ที่มีความพร้อม ดึงเขาเข้ามา ระดมสมองช่วยกัน จัดระบบการกระจายยาที่ดี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ  

นายวรวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ฟ้าทะลายโจร กลายเป็นความหวังของชาติ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีความชัดเจนว่า จะใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาหลักหรือเปล่าสำหรับการรักษาเบื้องต้นกันเชื้อลงปอด ถ้าชัดเจนว่าใช่ ก็มาดูต่อว่าจะสนับสนุนอย่างไรให้ประชาชนมั่นใจว่า เขาสามารถกินเพื่อรักษาโควิดได้ และขอให้พูดเป็นเสียงเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดคำถามมาเป็นระยะ บางคนก็ว่าหมอไม่ให้กินเพราะไม่มีงานวิจัย ในขณะที่อีกฝ่ายก็บอกว่า กินได้ เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาหลายร้อยปี วันนี้ ยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของปริมาณการกิน เพื่อรักษาโควิด ว่าต้องกี่เม็ด กี่มิลลิกรัม น้ำหนักตัวมีผลไหม บางคนกินต่อเนื่องมาเป็นปี ตั้งแต่โควิดระบาดระลอกแรก แบบนี้สามารถกินได้ไหม และจะสามารถสร้างภูมิได้เหมือนเรากินวิตามินซีหรือเปล่า ตอนนี้ต่างคนต่างพูดทำให้เกิดความสับสน ทั้งภาครัฐและบริษัทยา รัฐบาลต้องออกมาเผยแพร่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

 

นอกจากนี้ ปัญหาของไทยอีกอย่างคือ  ไม่มีการรวมศูนย์ในการเก็บข้อมูล  วันนี้เรามีกลุ่มตัวอย่างจำนวนมหาศาลกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ 100 ปี จะเกิดขึ้นสักครั้ง ได้มีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จากสถาบันต่าง ๆ หรือไม่กับผลสัมฤทธิ์ของการใช้ฟ้าทะลายโจร ซึ่งเรื่องแบบนี้รัฐบาลต้องเป็นผู้นำ เพื่อทำให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่พอจะใช้เป็นมาตรฐานโลกได้ เราเสียโอกาสทางการวิจัยไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนตัวเองเคยคุยกับหมอว่าทำไมถึงไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาโรค หมอตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะไม่มีผลงานวิจัย

 

ดังนั้น จากนี้ไปควรทำอย่างจริงจัง เก็บข้อมูลอย่างละเอียด เอานักสถิติมาเสริมเป็นทีมเก็บข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ที่ภารกิจหนักอึ้งอยู่ในขณะนี้  อาจเป็นอาสาสมัคร หรือนักศึกษา ศึกษาวิจัยในกลุ่มพารามิเตอร์เดียวกัน อย่างเช่น ผู้ติดเชื้อในเรือนจำ ก็มีวิถีชีวิต และการกินที่เหมือนกัน ควบคุมปัจจัยแวดล้อมได้ดี ผลการทดสอบก็จะเป็นไปในสภาวะควบคุมตัวแปร และพารามิเตอร์ (parameter) เดียวกัน ทุกสถาบัน นำมาเปรียบเทียบกันได้ สถานการณ์แบบนี้ต้องทำให้เกิดให้ได้ ทำให้เป็นมาตรฐานสากล จะยกระดับการแพทย์และยาไทยได้อีกมโหฬาร
นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า

“โอกาสของฟ้าทะลายโจรมาถึงแล้ว ที่จะใช้เป็นยาหลักแล้วมีการทดสอบวิจัยอย่างเป็นสากล และทำให้เป็นสินค้าส่งออกช่วยประเทศในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าเราบอกว่ายาฟ้าทะลายโจร ใช้ได้ผลในผู้ป่วยโควิด ระยะต้น ระยะกลางได้ มีผลวิจัยรองรับ ประเทศไหนก็ต้องอยากซื้อยาเรา ทำไมเราไม่รณรงค์ ให้คนของเราทำเรื่องนี้ให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจ ทำรายได้เข้าประเทศ ตอนนี้อะไรก็หารายได้เข้าประเทศยาก นั่นคือโอกาสที่สูญเสียไป  ต้องเร่งบูทการวิจัยให้ทั่วโลกยอมรับ ไม่ใช่แค่ฟ้าทะลายโจร แต่ควรทำสมุนไพรอื่น เช่น กระชายขาว ขิง ข่า เครื่องดื่มสู้โควิด  ทำให้เป็นสินค้าระดับโลก ทำขิงผงขายทั่วโลก ทุกประเทศก็มีโควิด ถ้าบอกว่า กินสมุนไพรเหล่านี้ สร้างภูมิสู้โควิดได้  ก็ทำวิจัยและพัฒนาเป็นสินค้าส่งออก นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป แต่ยังมีเวลาหากรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง”