นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อจัดทำข้อเสนอเรื่องการพักชำระหนี้ทั้งใน และนอกระบบให้กับลูกหนี้ทุกกลุ่ม ไม่ใช่เฉพาะแค่กลุ่มเกษตรกร และเอสเอ็มอี (SMEs) เข้าสู่ที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และทีมเศรษฐกิจ เพื่อพิจารณาและแสดงความคิดเห็น เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนถึงแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุด ก็จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำหรับพิจารณาอนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวก็เพื่อให้เกิดเม็ดเงิน หรือกำลังซื้อมาจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ซึ่งจะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจได้หมุนเวียนต่อได้ โดยคาดว่าหากมีความคิดเห็นที่ตรงกันมาตรการดังกล่าวน่าจะถูกผลักดันออกมาบังคับใช้ได้ในช่วงต้นปี 64 หรือหลังจากเทศกาลปีใหม่ผ่านไปแล้ว
“หากถามว่าการหพักชำระหนี้ก็จะกระทบไปยังสถาบันการเงิน และเรื่องของดอกเบี้ย ก็คงต้องการให้มองว่าในระยะยาวสถาบันการเงินเองก็อาจจะไม่มีทางได้รับการชำระหนี้ได้ แต่มาตรการดังกล่าวจะเป็นการให้โอกาสกับลูกหนี้ได้กลับมาชำระหนี้ได้ ซึ่งคงต้องเอกดูว่าต้องการให้เกิดแบบใดมากกว่ากัน”
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการพักชำระหนี้ แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือการทำให้เกิดรายได้ ถึงจะมีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจมากที่สุด โดยกลุ่มที่จะสร้างให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนได้คือกลุ่มเกษตรกร ดังนั้น จึงต้องดำเนินการให้กลุ่มดังกล่าวมีรายได้ที่เพียงพอ เพื่อให้เกดกำลังซื้อ เพราะหากขาดกำลังซื้อไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามส่งเสริมด้วยมาตรการใดก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
“เวลานี้ตนได้เตรียมการเรื่องการหาแนวทางสร้างรายได้ที่เพียงพอให้กับภาคเกษตรกรทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และอ้อย โดยจะไม่ใช้วิธีการประกันรายได้เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นแนวทางของการพยุงสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำ เพื่อให้เกิดความช่วยเหลือจากรัฐบาลให้น้อยที่สุด โดยจะต้องทำให้ราคาพืชผลทางเกษตรมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเมื่อเกษตรกรมีรายได้ก็จะนำมาใช้จ่าย เมื่อเกิดการค้าขายรัฐบาลก็จะประโยชน์จากภาษี รัฐบาลก็จะมีรายได้”
สำหรับจีดีพีภาคการเกษตรแม้ว่าจะอยู่ที่เพียง 6-8% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมากนัก แต่ต้องยอมรับว่าตัวเลขดังกล่าวคือผู้ที่ใช้เงินซึ่งมีผลต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่จำเป็นต้องผลักดันจีดีพีภาคเกษตรให้สูงขึ้น แต่จะต้องทำให้เกษตรมีกำไร เพื่อให้เกิดกำลังซื้อ โดยเมื่อเกิดการซื้อขายก็จะเชื่อมโยงไปสู่การสั่งซื้อจาก เอสเอ็มอี จากโรงงาน ซึ่งจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ โดยมีภาคเกษตรเป็นรากฐานที่สำคัญ
“แต่ก่อนที่ราคาข้าว 15,000 บาทต่อเกวียน เกษตรกรมีความสุข มีเงินเหลือมาจับจ่อยใช้สอย ก็ทำให้เศรษฐกิจคึกคักขึ้นมาได้ทันที หากทำได้ทุกพืชผลทางการเกษตรก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก”