นักวิชาการเสนอนายกฯ "fack news" เป็นวาระแห่งชาติ

22 ส.ค. 2562 | 01:21 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2564 | 01:53 น.

รายการ Good Morning ASEAN  FM 100.5 วันที่ 19 สิงหาคม 2562 โดยอ.เกษมสันต์  วีระกุล


          ตั้งแต่เรามีรัฐบาลใหม่ข่าวที่เราได้ยินมากข่าวหนึ่งคือข่าวศูนย์ต่อต้าน Fake News ของรัฐมนตรีกระทรวงดีอี เป็นเรื่องที่ดีเพราะ Fake News ในปัจจุบันนี้ทุกคนก็เห็นแล้วว่าเป็นปัญหาไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยแต่เป็นเรื่องของโลกด้วย  ผมมีข้อมูลมาแชร์ทั้งของไทยเองและของต่างประเทศเพื่อที่เราจะได้เอาไปเป็นบทเรียนช่วยกันคิดช่วยเป็นแรงสนับสนุนรัฐมนตรีพุทธิพงษ์  อันที่หนึ่งประเทศไทยเราตอนนี้มีคณะกรรมการที่เรียกว่า คณะกรรมการการประชาสัมพันธ์แห่งชาติซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม เป็นประธาน  และก็มีการผลักดันการต่อต้าน Fake News มานานพอสมควร มีคณะกรรมการระดับรัฐมนตรี  ระดับปลัดกระทรวงรวมถึงปลัดกระทรวงดีอีของรัฐมนตรีพุทธิพงษ์ด้วย  และมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คน จากภายนอก เช่น อ.เสรี  วงษ์มณฑา ก็อยู่ในคณะกรรมชุดนี้  ผมโดนเชิญไปอยู่ในนั้นด้วย ในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในชุดซึ่งผมเป็นประธานอนุกรรมการ ฯ มีการระดมสมอง มีการพูดคุยโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาคุยกันว่า โลกทั้งโลกเวลาเขาต่อสู้เรื่อง Fake News เขาทำกันอย่างไร โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ ๆระดับ CIA, FBI  ของสหรัฐ องค์กรที่เก่งๆ เขาทำกันอย่างไร ขณะนี้องค์ความรู้พวกนี้อยู่ที่ตัวคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติแล้ว  ที่สำคัญคือคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติมีคณะปฎิบัติการข่าวสาร 6 คณะ มาจากทุกกระทรวงรวมทั้งสื่อมวลชนด้วย  อสมท.ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายนี้ที่ช่วยเผยแพร่ คณะกรรมการปฎิบัติการข่าวสาร 6 คณะนี้ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ต่างประเทศ ยุติธรรม และก็จะมีโฆษกของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ว่าง่ายๆคือโฆษกแทบทุกกระทรวงอยู่ในนี้และก็มีสื่อ 3 สื่อ อสมท. กรมประชาสัมพันธ์  ไทยพีบีเอส และก็สามารถขอความร่วมมือไปยังสื่อเอกชนได้  เวลาไปเจออะไรที่เป็น Fake News คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติชุดของผมก็สามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านเว็บไซด์ของกระทรวง  ผ่านโฆษกกระทรวง ผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ ของ อสมท. กรมประชาสัมพันธ์ และไทยพีบีเอส ขณะทำขนาดนี้เวลานี้ต้องเรียนว่ายังไม่ทันการณ์ เพราะการทำงานอยู่ในรูปแบบของรัฐบาล ราชการ ก็มีกระบวนการพอสมควร ขนาดท่านรองนายก ฯนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการสั่งการไปติดต่อไปในนามคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติก็ยังช้ากันอยู่  เพราะฉะนั้นก็มีความกังวลเล็กๆ ในความริเริ่มที่ดีของรัฐมนตรีพุทธิพงษ์ ถ้าทำเองจะได้รับความร่วมมือหรือเปล่า สองถ้าไปเริ่มใหม่เลยนี่องค์ความรู้ที่มีอยู่ที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติก็จะหายไป  อยากเห็นการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง  Deepfake เคยได้ยินไหม  Fake News คือสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเรา คนไม่ดีทั่วไป มาเขียนข่าวแล้วทำเหมือนข่าวจริงๆ แต่เป็นข่าวซึ่งไม่จริง อาจจะมีผลทางการเมือง เศรษฐกิจ ผลก่อความวุ่นวายแล้วก็มาโพสต์ พอคนอ่านหลงเชื่อก็จะแชร์กันต่อ ส่วน Deepfake ก็คือ Fake News ที่ผลิตโดยปัญญาประดิษฐ์  คนที่หวังไม่ดีใช้ปัญญาประดิษฐ์ผลิตข่าวปลอมขึ้นมา ขณะนี้ Deepfakeไปไกลถึงขนาดที่ว่าเอาคลิป fb ไลฟท์ที่เราคุยกันอยู่ เอาหน้า เอาภาพ เอาความเคลื่อนไหวไป แต่ใส่ประโยคคำพูดอื่น ซึ่งคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ก็จะเป็นเสียงเราที่ไปประดิษฐ์คำอื่น ตรงกับการขยับปากของเรา เพราะฉะนั้น Deepfake เป็น Fake ที่ลึก จับยากมาก ๆเพราะมันผลิตด้วย AI ปัญญาประดิษฐ์  กูเกิ้ล ถึงขนาดเขียนในบทความเลยว่าจะเป็นอีกปัญหาหนึ่ง  ขนาด Fake News ที่ผลิตโดยคน เราเอาคนเฝ้าระวังก็ยังตามไม่ค่อยทัน  ถ้าเป็น Deepfake ขึ้นมา มันจะไปลึกกว่า จับได้ยากกว่า เหมือนกับเราดูวีดีโอ ภาพก็ภาพจริง เสียงก็เสียงจริง ปากก็ขยับไปตามเสียง มันจะไม่จริงได้อย่างไร มีเรื่องดารา โดนัล ทรัมป์ ก็โดน  กลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา  AI ที่คอยทำหน้าที่ดักจับ Fake News ก็จะถูกอันนี้ผลิตย้อนหลังขึ้นมาอีก ทุกวันนี้อย่างกูเกิ้ลลงทุนไปเป็นหมื่นล้านบาทแล้ว เพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า Google News Initiative ขึ้นมา กูเกิ้ล จะมีพันธมิตรมากขึ้น เมื่อเจออะไรที่ต้องสงสัย กู้เกิ้ล จะส่งข้อความ โพสต์ หรือ คลิป นั้น ไปให้พันธมิตรเพื่อช่วยตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วว่าถูกต้อง ในเวลาอันสั้นเมื่อกูเกิ้ลหาอะไรสักอย่างก็จะมีข้อความขึ้นว่าข้อความนั้นได้ถูกตรวจสอบโดยองค์กร ABCD แม้กระทั่งมีการตรวจสอบแล้วกูเกิ้ลยังระบุว่าสิ่งที่เขากังวลคือ Deepfake ซึ่งไม่ง่ายเลย  ในหลายประเทศใช้มาตรการทางด้านกฎหมายเพื่อที่จะต่อสู้กับ Fake News ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศสหรือในยุโรปหลายประเทศใช้วิธีการออกกฎหมาย หนึ่งลงโทษคนโพสต์ Fake News หรือ Hate speech  หรือข้อความที่ทำให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกัน และได้เขียนกฎหมายบังคับไว้ว่าถ้ารัฐบาลค้นพบว่าอะไรเป็น Fake News ก็จะไปขอให้ แพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดย เจ้าของเว็บไซด์ รีบลบข้อความที่เป็น Fake News ภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ลบก็จะถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท  หลายๆที่ที่ออกมาตรการนี้ออกมา  ซึ่งฟังดูเหมือนจะดีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีความกังวลว่ารัฐบาลหรือประเทศที่ใช้กฏหมายเป็นตัวนำในการต่อต้าน Fake News จะใช้กฏหมายดังกล่าวในการปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน มีเส้นแบ่งบาง ๆ สมมติว่ามีคนที่ไม่ชอบรัฐบาล โจมตีรัฐบาล มันเป็นข้อความที่สร้างความแตกแยกหรือเปล่าหรือเขาแสดงความคิดเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังพอสมควร หลายคนมีความกังวลเรื่องการใช้กฎหมาย  สิงคโปร์เองก็เขียนบอกว่าให้ระวังในเรื่องการต่อต้าน Fake News อย่าให้รัฐบาลไปใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปาก ปิดกั้นเสรีภาพประชาชน หรือรัฐบาลที่ไม่ดีใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม พวกเดียวกันพูดได้ โพสต์ได้ แต่ถ้าเป็นคู่แข่งถือเป็น Fake News ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในมาตรการทางกฎหมาย