ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันยาวนานนับตั้งแต่วันก่อตั้ง “พรรคประชาธิปัตย์” เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 แหล่งรวมผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดของไทย เปรียบเสมือน “เครื่องเคลือบลายครามชิ้นเอก” ที่ทรงคุณค่า แต่ได้ซ่อนรอยร้าวลึกภายในพรรคไว้ตลอดช่วงหลายสิบปีนี้ไว้ด้วย
ภาพความขัดแย้งที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งล่าสุด คือ กรณีการเลือกตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อมาทำหน้าที่แทน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ประกาศลาออกไปเนื่องจากผลความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมี 4 แคนดิเดตเข้าที่ร่วมชิงชัย ซึ่งผลปรากฏว่า ทั้งส.ส.ใหม่ 52 คนและกลุ่มอดีตกรรมการบริหาร พรรค และอดีตรัฐมนตรีต่างๆ ฯลฯ ได้เทคะแนนให้กับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ คิดเป็น 50.60% ตามมาด้วยนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค คิดเป็น 37.22% ทิ้งห่าง นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ได้ 8.49% และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธินที่ 3.70%
ชัยชนะของนายจุรินทร์ ในครั้งนี้ กลับยิ่งสร้างรอยร้าวลึกภายในพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อต้องตัดสินใจเลือกอนาคตทางการเมืองของพรรคว่า จะเข้าร่วมกับ “พลังประชารัฐ” เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ขัดแย้งกับแนวคิดของนายอภิสิทธิ์ อดีตหัวหน้าพรรค และส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้นายจุรินทร์ได้รับชัยชนะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนล่าสุด
ดังเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม เมื่อ นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ของพรรค ยืนถือป้ายมีข้อความว่า “ไม่เอาประยุทธ์ เป็นนายกฯ” ในวันที่ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญเดินทางไปส่งเทียบเชิญด้วยตัวเอง ท่ามกลางความไม่พอใจของส.ส.จำนวนหนึ่งที่เห็นว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อาทิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ซึ่งโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การกระทำของนายวัชระนั้น “ไม่มีมารยาท”
เกิดกระแสข่าวลือกดดันภายในพรรคตามมาว่า นายอภิสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เตรียมร่างหนังสือลาออกจากการเป็น ส.ส. หากพรรคมีมติเข้าร่วม สอดรับกับหน้าเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของกลุ่ม New DEM ที่ต่างระดมโพสต์ข้อความต่อต้านการเข้าร่วมกับรัฐบาลพลังประชารัฐ อาทิ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.ปชป. หลานของนายอภิสิทธิ์ รวมถึง นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ลูกนัท ทายาทนักธุรกิจเครือโนเบิล อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. และกลุ่มคณะราษฎรแห่งชาติที่เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรค เรียกร้องให้งดการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ต่างเชื่อว่า ไม่ว่า นายอภิสิทธิ์ จะลาออกหรือไม่นั้น ไม่มีผลต่อการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถึงอย่างไรประชาธิปัตย์ก็ต้องไปจับมือร่วมกับพลังประชารัฐอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ หากพลิกประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์กว่า 70 ปีที่ผ่านมา จุดแตกหักที่สร้างบาดแผลไว้ให้กับพรรคได้มากที่สุดมี 2 ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2530 กรณีการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคระหว่าง นายพิชัย รัตตกุล กับ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ ซึ่งในครั้งนั้นเทพีแห่งชัยชนะเข้าข้าง นายพิชัย ได้ รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรค
สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้นเมื่อในการเลือกตั้งซ่อมในเขตพื้นที่ กทม. เพื่อแทน นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ ซึ่งเสียชีวิตลง นายพิชัย หัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารกลับมีมติส่ง บุตรชาย คือ นายพิจิตต รัตตกุล ข้ามหน้านายเฉลิมพันธ์ ที่ขณะนั้นคุมพื้นที่กทม.อยู่ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับนายเฉลิมพันธ์ ขึ้นมาอีกครั้ง
สถานการณ์ “แตกหัก” เมื่อในการโหวตร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตรและลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2531 ซึ่งเป็นกฎหมายที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาถูกตีตก เมื่อรัฐบาลไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายของตัวเองออกมาได้สำเร็จ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ตัดสินใจประกาศยุบสภา
“เหตุเพราะมี ส.ส. 37 คนจาก 101 คนของพรรคประชาธิปัตย์ยกมือสวน หลังจาก นั้นส.ส.ทั้ง 37 คนได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และตั้ง “พรรคประชาชน” ขึ้นโดยมี นายเฉลิมพันธ์ นั่งเป็นหัวหน้าพรรค และ นายวีระ มุสิกพงศ์ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วีระกานต์ เป็นเลขาธิการพรรค
อีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อปี 2553 ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนั้นได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสมัยที่ 2 กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ที่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคต้องเสนอชื่อ เลขาธิการพรรค ซึ่งเวลานั้นทุกคนเชื่อสนิทใจว่า นายอภิสิทธิ์ ต้องเสนอชื่อของนายสุเทพ
สุดท้ายกลับเสนอชื่อของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ขึ้นเป็น “เลขาธิการพรรค” ได้สร้างความเจ็บชํ้าให้เกิดขึ้นเป็นแค้นฝังหุ่นในใจของนายสุเทพ กระทั่งเมื่อมีการเลือกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคกับนายแพทย์วรงค์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร กลุ่มของนายสุเทพได้เทคะแนนให้กับ หมอวรงค์ จนเกือบคว้าชัยชนะในครั้งนั้น
รวมถึงกรณีที่กลุ่มของนายสุเทพ เทคะแนนให้กับ นายพีระพันธุ์ แคนดิเดตชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคกับนายจุรินทร์ ที่ได้ทีมของนายอภิสิทธิ์ เป็นแบ็ก อัพ เฉือนเอาชนะนายพีระพันธุ์ ไปเพียงไม่กี่คะแนนเท่านั้น
วันนี้ความขัดแย้งจากกรณีการจัดสรรเก้าอี้ที่ยังไม่ลง ตัว ระหว่างกลุ่มของนายสุเทพเดิม และกลุ่มของนายจุรินทร์ กำลังขยายรอยแตกร้าวภายในพรรคประชาธิปัตย์มากยิ่งขึ้น
“ถ้าครั้งนี้กลุ่มของนาย สุเทพไม่ได้เก้าอี้ เชื่อว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาธิปัตย์แตกยับ”
+++++++
ไขความลับ‘เสธ.หนั่น’
โบกมือลา ปชป.
กว่า 7 ทศวรรษของพรรคประชาธิปัตย์ มี “เลขาธิการพรรค” มาแล้ว 16 คน แต่ที่ถูกกล่าวถึงและได้รับการจดจำมากที่สุด มีเพียง 3 คน คือ 1. นาย วีระกานต์ มุสิกพงศ์ 2. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ 3. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 ราย
ที่น่าสนใจและถูกเก็บเป็นความลับมาเนิ่นนาน คือ กรณีการลาออกของ พล.ต.สนั่น ที่หลายคนเข้าใจว่า เนื่องจากศาลมีพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการยื่นบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินเป็นเท็จ ก่อนตัดสินใจลาออกจากพรรค เมื่อพ้นระยะเวลาถูกตัดสิทธิดังกล่าว กระทั่งในปี 2548 พล.ต.สนั่น มาจับมือกับ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ จัดตั้งพรรคมหาชนขึ้นโดยนายประดิษฐ์ เป็นเลขาธิการพรรค นับเป็นทายาททางการเมืองคนหนึ่งของ พล.ต.สนั่น
ทั้งนี้ จุดแตกหักสำคัญกรณีการลาออกของ พล.ต.สนั่น นั้นเกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2547 ซึ่งเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล และหนึ่งในผู้ที่ถูกอภิปราย คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คมนาคม รวมอยู่ด้วย ซึ่ง “เสธ.หนั่น” เลขาธิการพรรคเวลานั้น ได้พยายามต่อรองไม่ต้องการให้มีการอภิปราย เพราะได้พูดคุยกับนายสุริยะ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในขณะนั้น มีมติยืนยันให้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว เป็นสาเหตุที่ทำให้ “เสธ.หนั่น” ซึ่งได้ไปตกปากรับคำกับผู้ใหญ่ไว้ไม่สามารถทำงานได้สำเร็จตามที่ตกลงกันไว้ เป็นเหตุให้ พล.ต.สนั่น ลาออกและตั้งพรรคมหาชนขึ้นเมื่อปี 2548
ที่สำคัญทั้ง “นายวีระกานต์ นายสุเทพ และ พล.ต.สนั่น” ต่างก็ไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งพรรคเป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน
รายงานโดย ทีมข่าวการเมือง
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3475 วันที่ 2-5 มิถุนายน 2562