ปมถือหุ้นสื่อของ “ว่าที่ส.ส.” ประเด็นร้อนที่สังคมกำลังเฝ้าติด ตามสถานการณ์ความคืบหน้าต่อเนื่อง จุดตายที่จะส่งผลสะเทือน ไม่เฉพาะต่อตัวนัก การเมือง คู่แข่งขัน แต่ยังรวมไปถึงสถานภาพของพรรคการเมืองนั้นที่อาจเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงต้องถูกยุบพรรคไปได้ด้วย
กฎเหล็กในเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 กำหนดให้บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ
ห้ามการเมืองแทรกสื่อ
ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ความเห็นว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายที่ห้ามมิให้เจ้าของสื่อลงเล่นการเมืองหรือถือหุ้นสื่อนั้น มองในเชิงของการทำงานสำหรับนักการเมือง ซึ่งมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งข้างกันอย่างชัดเจน ในขณะที่อาชีพของสื่อมวลชนต้อง ทำงานเสนอข้อมูลอย่างเป็นกลาง
“เราต้องการให้สื่อทำงานด้วยความสบายใจ ป้องกันไม่ให้สื่อถูกแทรกแซงหรือถูกครอบงำจากนายทุนเพราะสื่อมีหน้าที่เสนอข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง หากนักการเมืองเป็นเจ้าของสั่งให้ลงหรือโฆษณาความเห็นของตนเองก็จะเป็นปัญหา ต้องป้องกันการใช้อำนาจที่จะเข้ามาครอบงำสื่อ”
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ อดีตกรธ. สะท้อนความเห็นเช่นกันว่า เรื่องประเด็นการถือครองหุ้นซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามนั้น ที่ผ่านมา กรธ.ได้ทำความเข้าใจกับนักการเมืองและพรรคการเมืองไว้แล้วว่า ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะในรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ในหมวดขาดคุณสมบัติ หรือ เป็นลักษณะต้องห้ามชัดเจน ขณะที่ในรธน.ปี 2550 นั้นเขียนไว้ในหมวดของคุณสมบัติเท่านั้น รธน.ฉบับนี้จึงมีความเข้มข้นมาก
สื่อต้องรับใช้ประชาชน
ผศ.ดร.ณรงค์ ขำวิจิตร์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สื่อต้องทำเพื่อประโยชน์สังคมเป็นหลัก โดยมีเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารข้อเท็จจริง เสรีภาพของสื่อก็คือ เสรีภาพของประชาชน สื่อจึงต้องรายงานข้อเท็จจริง ต้องรับใช้ประชาชน ผู้ประกอบอาชีพสื่อจึงไม่ควรเป็นนักการเมือง หากต้องการจะเป็นนักการเมืองก็ต้องตัดขาดกับอาชีพสื่อของตน เพราะอันตรายของการมีสื่อในมือนักการเมืองก็คือ การนำเสนอข่าวสารเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองของตน หรือเพื่อสร้างความนิยมชมชอบให้กับบทบาททางการเมืองของตนมากกว่าประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการรายงานข่าวสารข้อเท็จจริงให้กับประชาชน
“คนในวงการสื่อไม่ได้เลวร้ายเพราะตั้งใจที่จะทำประโยชน์ตามอุดมการณ์สื่อของตน แต่เมื่อสื่อต้องมีนายทุน ซึ่งมีบทบาทที่จะช่วยดำรงอุดมการณ์ดังกล่าวได้ แต่ถ้านายทุนเป็นผู้ฝักใฝ่ทางการเมืองก็จะมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกองบรรณาธิการของสื่อ”
แนะแก้การเมืองเจ้าของสื่อ
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทยชี้ว่า แนวคิดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ เป็นแนวคิดที่เกิดในช่วงที่สื่อยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากเช่นทุกวันนี้ อาจอยู่ในยุคภูมิทัศน์สื่อแบบเก่าที่สื่อมีจำกัด แนวคิดของรธน.ฉบับนี้จึงห้ามการถือครองสื่อ เพราะจะมีผลทำให้คนในสังคมเชื่อหรือคล้อยตามในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ออกมา จึงจำกัดว่าในส่วนของนักการเมืองไม่ควรถือครอง สื่อเพื่อให้สื่อทำงานได้อย่างเสรี
แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปขณะที่กฎหมายยังอยู่กับของเดิม อาจต้องมีการตั้งคำถามว่าควรมีการแก้รธน.ในมาตรานี้หรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะทุกคนมีสื่อในมือ มีช่องทางนำเสนอข่าวสารผ่านสื่อออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดียได้ ขณะเดียวกันสื่อก็มีความหลากหลายและมีจำนวนไม่จำกัด
ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จนต้องห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อไม่ได้เป็นเพราะสื่อเลวร้ายจนไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นคนละเรื่องกัน เพียงแต่ว่าคนกลัวว่าการใช้สื่ออาจจะถูกนำมาเป็นเครื่องมือ เพราะในอดีตการใช้สื่อส่วนใหญ่เป็นรัฐที่คุมสื่อและใช้สื่อในการชี้นำสังคม แต่ต่อมามีกลุ่มทุนเข้ามาก็อาจจะเกรงว่าสื่อจะกลายเป็นเครื่องมือได้ ที่สำคัญตอนนี้ใครๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ แค่มีอี-เมล์เป็นของตนเอง สามารถเปิดเฟซบุ๊กได้ แนวคิดเรื่องนักการเมืองต้องไม่เป็นเจ้าของสื่อต้องมีการตั้งคำถามและทบทวน
ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน
นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือ พิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าวงการสื่อเลวร้ายมากหรืออย่างไรจึงไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของหลักการเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากเจตนารมณ์ของ รธน.หลายฉบับตั้งแต่ปี 2540 พยายามบัญญัติเนื้อหาไม่ให้นักการเมืองเข้าไปถือครองธุรกิจสื่อ เพราะมองว่า สื่อสามารถสร้างอิทธิพลให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ การที่ให้ผู้ลงเล่นการเมืองเป็นเจ้าของ มีอิทธิพลเหนือสื่อมวลชน ส่งผลทั้ง 2 แง่ ทางหนึ่งอาจจะใช้สื่อไปในทางที่เอื้อประโยชน์ในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง และอีกทางก็ใช้สื่อเพื่อโจมตีฝ่ายตรงกันข้าม
“เมื่อได้รับเลือกเข้าไปรับตำ แหน่งทางการเมือง ก็จะเกิดประเด็นว่า ถ้าเป็นฝ่ายรัฐบาลก็จะตรวจสอบการทำงานลำบาก ซึ่งเป็นหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายหลักการเดียวกันกับหลายอาชีพ อาทิ ผู้พิพากษา ที่ห้ามไม่ให้เป็นเจ้า ของธุรกิจ เพื่อป้องกันเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน”
กฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาและมีความชัดเจนระดับหนึ่ง แต่บ้านเรามีปัญหาคือ อยู่ที่สภาพการบังคับใช้กฎหมายและการนำกฎหมายไปตีความ กรณีบังคับใช้แต่ไม่ปฏิบัติและตรวจสอบอย่างจริงจังปล่อยเลยตามเลย
นักการเมืองต้องเคลียร์ตัวเอง
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอดีตส.ว.สายวิชาชีพสื่อมวลชน สะท้อนความเห็นว่า จากที่เคยเป็นสื่อมารู้สึกน้อยใจเหมือนกันที่สื่อเป็นอาชีพต้องห้ามสำหรับนักการเมือง แต่ข้อห้ามนัก การเมืองไม่ให้ถือหุ้นสื่อไม่ใช่เพิ่งเกิดในรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่เกิดมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 แล้ว
ความจริงสื่อทำหน้าที่เพื่อประชาชนไม่ต่างจากนักการเมือง แต่ที่ผ่านมาสื่อเหมือนกับทุกอาชีพ มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน สิ่งสำคัญที่เคยเกิดปัญหาในอดีตคือ เมื่อฝ่ายการเมืองรู้ว่าสื่อมีอิทธิพลก็เข้ามายุ่มย่าม เช่น เข้ามาเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะเมื่อมีตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดขึ้นมาก็มีคนพยายามเข้าไปครอบงำสื่อ หลายฉบับก็เคยพยายามที่จะมีผู้เข้าไปเทกโอเวอร์ การเทกโอเวอร์โดยการทำธุรกิจไม่มีใครว่า
สมชาย แสวงการ
ปัญหาคือที่ผ่านมา พอเทกโอเวอร์แล้วก็สั่งให้สื่อทำให้เกิดการโฆษณาชวนเชื่อตามที่แต่ละพรรคการมืองจะได้ประโยชน์ หรือเอาไว้เป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม อันนี้เรียกว่าทำแบบเปิด ส่วนที่ทำแบบปิดก็มี สื่อก็มีดีมีเลว สื่อที่ดีก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบทุกฝ่ายโดยไม่เลือกหน้าทำหน้าที่แทนประชาชน เหมือนกับอาชีพทุกวงการ สื่อไม่ดีประเภทไปรับเงินก็เยอะ
สื่ออีกประเภทคือสื่อเทียมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อทางการเมือง ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อสังคม เพื่อมวลชน แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อหากินโดยอาศัยคราบวิชาชีพสื่อ ปกติสังคมที่มีวุฒิภาวะมักจะไม่มีปัญหาอะไร สังคมที่พัฒนาแล้วสื่อจะมีมาตรฐานทางวัฒนธรรมกำกับกันเอง สังคมจะไม่ยอมรับสื่อ 3 ประเภทดังกล่าว ยกเว้นสื่ออาชีพที่แท้จริง
อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า เคยมีสื่อที่ทำให้เกิดสงครามการเมือง เช่น การใช้สื่อชุมชนทำให้เกิดฆ่ากันที่รวันดา ทำให้ตายมากถึงกว่า 8 แสนคน ส่วนสงครามกลางเมืองในหลายที่รวมทั้งในประเทศไทยก็เคยเกิด สงครามสีเสื้อในการชุมนุม แล้วใช้สื่อในการถ่ายทอดสด ทำให้ กว่า 10 ปีที่ผ่านมาเกิดวิกฤติการเมือง รัฐธรรมนูญทุกฉบับจึงพยายามที่จะให้สื่อถอยร่นออกจากการเมือง ขณะเดียวกันก็ให้นักการเมืองยุ่งกับสื่อน้อยที่สุด คือห้ามเป็นเจ้าของสื่อ
ในบทบัญญัติของ รธน.ปี 2560 ต่อเนื่อมาจาก รธน. ปี 2540 และปี 2550 ซึ่งเป็นการปฏิรูปสื่อโดยรธน.ปี 2550 ห้ามนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ แต่รธน. 2560 กรรมการร่างรัฐธรรมนูญบอกแค่นั้นไม่พอ จึงห้ามตั้งแต่เป็นผู้สมัครส.ส.เลย
“เห็นด้วยหรือไม่กับห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ ผมไม่มีความเห็นแต่ต้องปฏิบัติตาม มาตรา 98 อนุ 3 เขียนชัดเจนว่าคนที่จะสมัครเป็นนักการเมืองที่เคลียร์ตัวเองก่อนสมัครส.ส.และส.ว.เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าวงการนี้ ต้องไปเตรียมตัวมาก่อนทุกคน จะมาห้ามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้”
นายสมชายชี้ว่า ไม่ควรไปแก้กฎหมายหรือแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ เพราะกำหนดไว้ไม่ให้ผู้จะเล่นการเมืองต้องไม่มีหุ้นในสื่อ ในอดีตเคยมีการฟ้องคดีส.ส., ส.ว.มาแล้ว ตนก็เคยโดนฟ้องขณะเป็นส.ว. โดนเรื่องหุ้นมี ส.ส., ส.ว.เป็น 100 คนก็สู้คดีนานปีครึ่งจนชนะ เพราะฉะนั้นวันนี้ใครจะเข้าสู่การเมืองก็ต้องอดทน ต้องยอมให้ถูกดำเนินคดีแล้วไปสู้กันในศาล ไม่ต้องแก้อะไร เพราะถ้าแก้จะทำให้ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3467 ระหว่างวันที่ 5-8 พฤษภาคม 2562