2558 โป้งปิดคดีดัง สะท้าน ‘บิ๊กบริหาร-นักการเมือง’

03 ม.ค. 2559 | 11:00 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มิ.ย. 2559 | 10:19 น.
ต้องบันทึกว่าในรอบปี 2558 นี้ เป็นปีที่บรรดาสารพัดคดีดัง ที่ต่อสู้ยืดเยื้อ เดินมาถึงจุดสิ้นสุดศาลฎีกาทยอยมีคำพิพากษาตัดสิน เคาะค้อนโป้งสั่งเป็นที่สุดของการพิจารณาคดี มีผลทันทีตามคำชี้ขาด บิ๊กผู้บริหาร-นักการเมืองดัง ถูกนำตัวเข้าคุกเป็นทิวแถวชนิดไม่ทันตั้งตัว จนหมดเรี่ยวหมดแรงต้องถูกประคองส่งเรือนจำเป็นที่น่าสะท้อนใจ

 คุก18ปี"สุชาย-วิโรจน์"

ในกลุ่มคดีดังศาลฎีกาสั่งจำคุกบิ๊กบริหาร-ข้าราชการ-นักการเมืองในปีนี้นั้น ทีมข่าวฐานฯยกให้การตัดสินคดีทุจริตกรุงไทยปล่อยกู้เครือกฤษดา เป็นคดีที่สร้างความตื่นตะลึงมากที่สุดในปีนี้ เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา พิพากษาว่าจำเลยผิดจริงตามฟ้อง สั่งลงโทษจำคุก 12 ปี และ 18 ปี แทบยกชุด และให้ชดใช้ความเสียหายคืนธ.กรุงไทย 1 หมื่นล้านบาทเศษ

โดยจำเลยที่ต้องโทษจำคุก 18 ปี 4 คน กลุ่มผู้บริหารระดับสูงธ.กรุงไทย ได้แก่ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตรัฐมนตรีคลัง และประธานบอร์ดแบงก์กรุงไทย นายวิโรจน์ นวลแข อดีตก.ก.ผจญ.ธนาคารกรุงไทย นายมัชญิมา กุญชร ณ อยุธยา และนายไพโรจน์ รัตนะโสภา อดีตหัวหน้ากลุ่มสินเชื่อ

ส่วนผู้บริหารอื่นในฝ่ายสินเชื่อและที่เกี่ยวข้อง จำคุก 12 ปีอีก 10 คน มีนายพงศธร สิริโยธิน นายโสมนัส ชุติมา นายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ นายวันชัย ธนิตติราภรณ์ นายบุญเลิศ ศรีเจริญ นายประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล นางกุลวดี สุวรรณวงศ์ นางสุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ นายประวิทย์ อดีตโต และนางศิริวรรณ ชินอิสระยศ

กลุ่มธุรกิจเอกชนก็โดนด้วย โดย 5 บริษัทนิติบุคคล ปรับรายละ 2.6 หมื่นบาท ส่วนผู้บริหารบริษัทโดนจำคุกคนละ 12 ปี อีก 5 คน มีนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา นายบัญชา ยินดี นายวิชัย กฤษดาธานนท์ นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ และนายไมตรี เหลืองนิมิตรมาศ

ส่วนของ"ทักษิณ ชินวัตร"จำเลยที่ 1 ศาลสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ และออกหมายจับ เนื่องจากหนีคดีตั้งแต่ต้น
ปิดฉากคดีที่มีจุดเริ่มต้นจากการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หลังการเข้ายึดอำนาจรัฐบาลทักษิณของพล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ก่อนส่งสำนวนต่อให้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลย เมื่อ กรณีอนุมัติให้ธ.กรุงไทยปล่อยกู้กิจการในเครือบมจ.กฤษดา 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ในแผนฟื้นฟูฯไม่อยู่ในสถานะจะขอสินเชื่อได้ และใช้เงินผิดประเภท

ส่วนต่อเนื่องคดีสินเชื่อกรุงไทยก้อนดังกล่าวบางส่วนถูกโอนให้บุคคลภายนอก ที่ถูกแยกออกมาส่งฟ้องในฐานความผิดฟอกเงิน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)รับไว้ก่อนหน้า ก็เดินหน้าต่อ

มี"4บิ๊กเนม"ต้องรอลุ้นว่าที่สุดจะติดบ่วงคดีหรือไม่ ได้แก่ นางกาญจนาภา หงส์เหิน นายวันชัย หงส์เหิน นายมานพ ทิวารี และนายพานทองแท้ ชินวัตร

เรือขุด-ถมทราย โดยด้วย

นอกจากนั้น ยังมี คดีดังการทุจริตของบิ๊กบริหารอีกหลายราย อาทิ คดีทุจริตจัดซื้อเรือขุดหัวสว่าน หรือเรือขุดเอลิคอตต์ ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจงอาชว์ โพธิสุนทร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 ศาลฎีกาพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้ง 7 คนฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้จำคุกคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา

ถัดมาวันที่ 10 พฤศจิกายน ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่อัยการพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ฟ้องนายประมวล หุตะสิงห์ และนายปรีชา เหตระกูล อดีตรองและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด(บทม.) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 ฐานเป็นพนักงานใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต หรือคดีทุจริตถมทรายหนองงูเห่า โดยมีการแอบแก้ไขตัวเลขราคากลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกคนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นยกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกคนละ 5 ปี แต่ในทางนำสืบของนายประมวลเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ให้ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกนายประมวล 3 ปี 4 เดือน แต่จำเลยทั้ง 2 คนไม่มาศาล จึงให้ออกหมายจับเพื่อบังคับคดีภายในอายุความ 10 ปี

ปิดฉากเศร้าแบงก์บีบีซี

ข้ามมากลางเดือนธันวาคม ศาลฎีกาพิพากษา 2 คดีประวัติศาสตร์แบงก์บีบีซี ที่เคยเป็นชนวนวิกฤติเศรษฐกิจในอดีต คดีแรกพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยทั้ง 3 คน ในคดียักยอกทรัพย์บีบีซี กรณีร่วมกับราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษาอดีตก.ก.ผจญ.ทำสัญญาแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ธนบัตร กับบริษัท ดีเวลลอปเมนท์ ไฟแนนซ์ ฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2538

ประกอบด้วย นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกก.ผจญ.บีบีซี ม.ร.ว.อรอนงค์ เทพาคำ(ดิศกุล) อดีตรองผอ.ฝ่ายบริหารเงินฯ และนางสาวเยาวลักษณ์ นิตย์ธีรานนท์ อดีตรองผอ.ฝ่ายบริหารเงินฯ ให้จำคุกคนละ 20 ปี ปรับคนละ 1.157 ล้านบาท และชดใช้ให้บีบีซี รวม589.6 ล้านบาท

คดีที่ 2 ของบีบีซีก็เป็นกรณียักยอกเช่นกัน เป็นคดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจฯ และบีบีซีเป็นโจทก์ ฟ้องผู้บริหารระดับสูงของแบงก์เป็นจำเลยรวม 4 คน ประกอบด้วย นายเกริกเกียรติ นายจิตตสร ปราโมช ณ อยุธยา ม.ร.ว.ดำรงเดช ดิศกุล และม.ร.ว.หญิงสุภาณี สารสิน(ดิศกุล) โดยร่วมกับนายราเกซอีกเช่นกัน ในการวางแผนอนุมัติขายหุ้นเพิ่มทุนของบีบีซี โดยไม่ตรวจสอบประวัติฐานะของบริษัทผู้เข้ามาจองซื้อหุ้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกนายเกริกเกียรติตามม.313 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ 5 กระทง รวม 50 ปี แต่คงให้จำคุก 20 ปีตามกฎหมาย และปรับ 472.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคืนเงินแบงก์บีบีซี 167 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนจำเลยอีก 3 คนที่เหลือ ให้จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และร่วมชดใช้เงินกับจำเลยที่ 1 คืนให้บีบีซี 85.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ซึ่งศาลฎีกาก็เห็นพ้อง พิพากษายืน รับโทษกันถ้วนหน้า ส่วนคดีอาญาของนายเกริกเกียรติให้จำหน่ายจากสารบบเนื่องจากลาโลกไปก่อนแล้ว และใน 2 คดีนี้ 3 พี่น้อง"ดิศกุล"รับโทษพร้อมกัน

2คดีนักการเมืองสะเทือน

ยังมีคดีสะเทือนนักการเมืองดัง วันที่ 4 สิงหาคม ศาลจังหวัดสมุทรปราการ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ตัดสินจำคุกนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม นายกอบจ.สมุทรปราการ 1 ปี 6 เดือน และจำคุกนายปิติชาติ ไตรสุรัตน์ รองนายก 3 ปี ในคดีทุจริตเลือกตั้งเมื่อปี 2545 ที่นายชนม์สวัสดิ์ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ และนายปิติชาติ เป็นปลัดเทศบาลฯ จัดการเลือกตั้ง

อีกคดีวันที่ 15 ตุลาคม ศาลนัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีรื้อบาร์เบียร์ซอยสุขุมวิท 10 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้า 44 ราย ร่วมเป็นโจทก์ ฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร กับพวกรวม 130 คน เป็นจำเลย ฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกยามวิกาล กักขังหน่วงเหนี่ยว คดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นจำคุกนายชูวิทย์-พ.ท.หิมาลัย-พ.ต.ธัญเทพ กับพวก 66 ราย คนละ 5 ปี ศาลจึงนัดอ่านคำพิพากษาอีกครั้ง วันที่ 28 มกราคม 2559 เวลา 09.00 น. มีลุ้นแต่ต้นปีใหม่ว่าเส้นทางเดินหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

ตลอดปี 2558 "คดีร้อน-กรณีดัง" ต่างคืบหน้าต่อเนื่อง เพื่อเคลื่อนสู่จุดสุดท้าย การตัดสินชี้ชะตาที่จะทยอยตามมานับจากนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,118
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 - 2 มกราคม พ.ศ. 2559