ผ่าแผน‘กรกฎ52’ รับมือ‘มวลชน’หนุนยิ่งลักษณ์

30 ก.ค. 2560 | 00:11 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ค. 2560 | 07:11 น.
ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นวันชี้ชะตา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ได้นัดฟังคำพิพากษาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ระงับยับยั้งโครงการ รับจำนำข้าว จนก่อให้เกิดการทุจริตทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

วันเดียวกันศาลฎีกาฯ ยังได้นัดพิพากษาคดีทุจริตในโครง การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่มี นายบุญทรง เตริยา-ภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ พร้อมอดีตนักการเมือง ข้าราชการการเมือง และนิติบุคคล รวม 28 ราย เป็นจำเลย

สถานการณ์การเมืองนับแต่นี้ไปจนถึงวันที่ศาลฎีกาฯพิพากษา นางสาวยิ่งลักษณ์ จะเริ่มร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ซึ่ง นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาเปิดเกมท้าทายฝ่ายรัฐ โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนประชาชนนับ 10 ล้านคนมาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์

ทันทีที่นายวัฒนา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวการันตีมวลชนที่จะมาให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ว่า เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐ- ธรรมนูญ และไม่มีการจัดตั้งแต่อย่างใด ในวันเดียวกันมีคำเตือนจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนผ่านไปยังมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ว่า

“ผมเป็นห่วงประชาชนที่ไปร่วมในวันพิจารณาคดีต้องระวังด้วย ถ้าไปร่วมแล้วเดือดร้อนขึ้นมา ผมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน เพราะมันผิดกฎหมาย รัฐบาลคงไม่สกัดประชาชนที่จะเข้ามา แต่คิดว่าทุกคนต้องสกัดใจตัวเองมากกว่า ว่าเราจะไปทำไม จะได้ประโยชน์อะไร ตรงไหน ไม่ว่าจะไปมากหรือน้อย หรือจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา มันไม่มีผลต่อการตัดสินคดี”

สัญญาณเตือนจาก “นายกฯประยุทธ์” สอดคล้องกับท่าทีจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่าไม่ได้กังวลกับการเคลื่อน ไหวของกลุ่มหนุนอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ แต่ยอมรับว่าได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่ว ประเทศ ให้ทำความเข้าใจและชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ว่าอาจจะสุ่มเสี่ยงกับการเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นได้

++ห่วงมือที่3สร้างสถานการณ์
ในสถานการณ์การเมืองที่คาดว่าจะร้อนแรงขึ้นจาก “มวลชน” ที่เตรียมมาให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ทางฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะตำรวจก็ได้เริ่มประชุมซักซ้อมเตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร บริเวณศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 25 สิงหาคม ไว้บ้างแล้ว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ระบุภายหลังการประชุมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่รอบศาลฎีกาฯ ว่า จะมีการใช้แผน “กรกฎ 52” ดูแลรักษาความปลอดภัย บริเวณศาลฎีกาฯ ทั้งก่อนการแถลงปิดคดีและตัดสินคดีโครง การรับจำนำข้าว ส่วนจะใช้กำลังมากน้อยแค่ไหน รอให้กองบัญชา การตำรวจนครบาล (บช.น.) ประเมินสถานการณ์ และประเมินมวลชนก่อน

แต่จากการติดตามสถาน การณ์เบื้องต้นยอมรับว่า พบการเคลื่อนไหวของแกนนำมวลชน 1-2 ราย ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ที่มีการนัดหมายผ่านทางโซเชียลมีเดีย จึงสั่งการให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. และตำรวจพื้นที่ตรวจสอบว่า เข้าข่ายยุยงปลุกปั่นหรือไม่ หากเข้าข่ายให้ดำเนินคดีทันที

“ยืนยันว่าจะไม่มีการสกัดมวลชนจากต่างจังหวัด แต่จะตรวจเข้มการพกพาอาวุธ หากมีการกระทำผิดกฎหมาย ทั้ง พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ ผิดคำสั่ง คสช. หรือผิด พ.ร.บ.คอม- พิวเตอร์ ตำรวจก็ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และยังไม่มีความจำเป็นต้องขอใช้คำสั่ง คสช. มาตรา 44 หรือคำสั่งพิเศษใดๆ ในการควบคุมสถานการณ์”

รองผบ.ตร.ยังยอมรับด้วยว่า เป็นห่วงมือที่ 3 ฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ซึ่งตำรวจจะทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างเต็มที่ ส่วนการพูดคุยทำความเข้าใจกับแกนนำนปช. เป็นเรื่องของทางกองทัพ ส่วนตัว เพียงส่งสัญญาณผ่านสื่อมวลชน ให้ทุกฝ่ายเคลื่อนไหวภายใต้กรอบกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น. ระบุว่า ตำรวจจะมีการประชุมร่วมกับศาลอีกครั้งในวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อพูดคุยถึงขอบเขตของตำรวจในการวางกำลังดูแลความเรียบ ร้อยในวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันตัดสินคดี ก่อนที่ตำรวจจะประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์และกำลังพลอีกครั้งในวันที่ 17 สิงหาคม

++ผ่าแผนกรกฎ 52
สำหรับแผน “กรกฎ 52” เป็นแผนที่ปรับมาจาก “แผนกรกฎ 48” ที่เคยใช้รับมือกับม็อบเสื้อแดง ม็อบเสื้อเหลือง โดยมีการลดขั้นตอน แต่เพิ่มรายละเอียดการปฏิบัติในส่วนของขั้นตอนการจับกุม ซึ่งเริ่มต้นที่การจับกุมด้วยมือเปล่า การใช้มือเปล่าล็อกหรือการใช้กุญแจมือ การใช้คลื่นเสียงก่อกวน และหากมีการใช้แก๊สนํ้าตาแล้วยังไม่สามารถควบคุมสถานการณการชุมนุมได้ แผนรักษาความสงบกรกฎ 52ได้เพิ่มขั้นตอนการใช้โล่กระบอง กระสุนยาง เครื่องช็อตไฟฟ้า เป็นขั้นตอนสุดท้าย

ในการใช้อุปกรณ์เพื่อควบ คุมสถานการณ์การชุมนุมนั้น ต้องไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตและต้องยึดตามหลักมาตรฐานสากล อาทิ รถติดระบบเครื่องเสียงที่มีระบบสัญญาณรบกวนโสตประสาทหู รถที่มีศักยภาพในการฉีดนํ้าผสมแก๊สนํ้าตา นํ้าผสมสี โดยแต่ละขั้นตอนจะมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันก่อนที่จะเข้าควบคุมฝูงชน

++ย้อนอดีตสลายม็อบเสธ.อ้าย
กรณีศึกษาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยงัดแผนกรกฎ 52 มาใช้ในการสลายม็อบจนประสบความสำเร็จ ก็คือ “ม็อบขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.)

ในเช้าวันดังกล่าว เสธ.อ้าย ได้ประกาศนำมวลชนมาแสดงพลังขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” โดยรวมตัวที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อเดินเท้าไปยังทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกตำรวจกว่า 2 กองร้อยสกัดบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำให้มีการปะทะและใช้แก๊สนํ้าตาสลายฝูงชน ส่งผลให้เสธ.อ้าย ประกาศยุติการชุมนุมในเวลาต่อมา โดยอ้างว่าเพื่อรักษาชีวิตของมวลชนที่มาร่วมชุมนุม

tp16-3283-a ++แก๊สนํ้าตาสลายม็อบ
อย่างไรก็ตาม การใช้แก๊สนํ้าตาสลายการชุมนุม เคยเป็นคดีความฟ้องร้องและอยู่ระหว่างการรอคำพิพากษาในวันที่ 2 สิงหาคมนี้ และกำลังเป็นที่จับตาของสังคมไม่แพ้คดีจำนำข้าวคือ กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น.

ทั้งนี้ เป็นไปตามความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 รัฐบาลนายสมชาย ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขอคืนพื้นที่การชุมนุมจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา ส่งผลให้เกิดการสลายการชุมนุม กระทั่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 471 ราย

เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซํ้ารอย วันที่ 25 สิงหาคมนี้ ฝ่ายความมั่นคงจึงต้องเตรียมแผนรับมือ “มวลชน” ที่จะมาให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ เอาไว้อย่างดี

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,283
วันที่ 30 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560