ใครจะคิดว่า จะเกิดเหตุการณ์ “เมาแล้วกร่าง เจ้าเก่า” จนกลายเป็นข่าวดังกระหึ่ม ทั่วทั้งในสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อหนังสือพิมพ์ทั้งที่เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา...ถึงกับอัยการสูงสุด(อสส.) ร.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร ต้องสั่งการให้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อปกป้ององค์กรอัยการมิให้มัวหมอง เป็นการด่วน นั่นคือ...
กรณีมีข่าวเผยแพร่คลิปเสียงพร้อมภาพ ทั้งทางสื่อและอื่นๆ สรุปความได้ว่า สายตรวจบางแสนเจอ “อัยการ” เมาแล้วเบ่ง บีบแตรเรียกกลางทางจะให้ไปส่งร้านลาบ สายตรวจมีงานไปส่งไม่ได้ โทร.ฟ้องผู้การให้ไปขอโทษ หลังจากนั้น ยังได้โทร.หาเสธ.ทหารเรือให้ทหารมา 3 คน จนเอาตัวสายตรวจไปขอขมาที่บ้าน โดยอสส.ยืนยันหนักแน่น หากปรากฏว่าชายตามเสียงในคลิปดังกล่าวเป็นพนักงานอัยการจริง ก็จะดำเนินการทางวินัยอย่างเฉียบขาด
++สอบพฤติกรรมอัยการกร่าง
โดยมอบให้ นายธีระ หงส์เจริญ อธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ พิจารณาสอบสวนว่า นายธนพล จูฑะเตมีย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 1 มีพฤติกรรมเมาสุราพูดจาไม่เหมาะสม กระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรอัยการ และเป็นการกระทำผิดวินัยฐานกระทำการอันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 68 ประกอบ มาตรา 74 ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนด่วน
ในที่สุดภาพเหตุการณ์สนทนาระหว่างตำรวจชั้นผู้น้อยกับอัยการชั้นผู้ใหญ่ที่ปรากฏ ทำให้เกิดกระแสสังคมตามมาจนได้ แม้กระทั่งเพื่อนที่จบเนติบัณฑิตรุ่นเดียวกัน แต่ไม่ได้พบกันนานยังโทรศัพท์มาเป็นเชิงกระเซ้าว่า...“อ้าว!ตอนนี้ ก.อ.มีงานเข้าแล้วสิ...คนเป็นถึงข้าราชการอัยการชั้นสูง ประพฤติตัวแบบนี้ ไม่ควรเอาไว้ !ทำให้เสื่อมเสียแก่องค์กร ท่านเป็นก.อ.ต้องเฉียบเข้มหน่อย ดูตัวอย่าง กรรมการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ขององค์กรศาลยุติธรรมนั่นปะไร? ปรากฏข่าวว่าให้ออกจากผู้พิพากษาระดับสูงมาแล้วถึง 7 คน!!” ...โดยเฉพาะแฟนๆ ทางไลน์ตอกยํ้ามาว่า ผู้กระทำเคยสร้าง “วีรกรรม” เช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2558 แสดงว่าไม่เข็ดหลาบใช่ไหม?
ผู้เขียน แม้จะเป็นนักศึกษากฎหมาย และได้ดำรงตำแหน่งอยู่เป็นคณะกรรมการอัยการ หรือ ก.อ.ในปัจจุบันนี้ก็ตาม แต่จะเขียนวิเคราะห์วิจารณ์ กรณีที่เกิดขึ้นในฐานะ ชาวนํ้าหมึกที่ยึดถือความเป็นกลาง ถูกต้อง เที่ยงธรรมและมีจรรยาบันของนักเขียนในเชิงวิชาการ เป็นที่หลัก
ส่วนในหน้าที่กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ(สมัยที่ 3) จำได้ว่าตั้งแต่สมัยแรกเมื่อปี 2552 ผู้เขียนมักจะกล่าวอภิปรายเน้นในที่ประชุม(ก.อ.) เสมอว่า..เพราะตระหนักว่าเมื่อได้รับความไว้วางใจจากสภานิติบัญญัติฯ เลือกมาให้ทำหน้าที่ ก.อ.ก็ปรารถนาที่จะได้เห็นการพัฒนาองค์กรอัยการทั้งระบบให้เกิดประสิทธิภาพ และมีความประพฤติเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง รักเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นอัยการ พร้อมกับดำรงตนอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรม และการรักษาวินัย โดยอาศัยระบบคุณธรรม เป็นสรณะ อย่างเคร่งครัด
++อำนาจ“ก.อ.”ลงโทษอัยการ
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายข้าราชการอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 30 ได้บัญญัติให้สำนักงานคณะกรรมการอัยการเป็นองค์กรบริหารงานบุคคลสูงสุด มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้คือ การออกระเบียบเกี่ยวกับการสรรหา การบรรจุ การแต่งตั้ง การทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
การโยกย้าย การเลื่อนตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง การรับเงินเดือน การเลื่อนเงินเดือน การรักษาจริยธรรม การออกจากราชการ การคุ้มครองระบบคุณธรรม และการจัดระเบียบข้าราชการธุรการ ฯลฯ
หมวด 1 ในมาตรา 32 บัญญัติอำนาจให้ การบรรจุ การแต่งตั้ง และการเลื่อนขั้นเงินเดือน ตั้งแต่ระดับชั้น 8 จนถึงชั้น 1 ดังนี้...คือ
อัยการสูงสุด ซึ่งเป็นข้าราชการชั้น 8, รองอัยการสูงสุด และผู้ตรวจการอัยการชั้น 7, อธิบดีอัยการ อธิบดีภาค รองอธิบดี รองอธิบดีอัยการภาค อัยการพิเศษฝ่าย และอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ชั้น 6, อัยการผู้เชี่ยวชาญ ชั้น 5 , อัยการจังหวัด และอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ชั้น 4, อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และรองอัยการจังหวัด ชั้น 3, อัยการประจำกอง และอัยการจังหวัดผู้ช่วย ชั้น 2, อัยการผู้ช่วย เป็นข้าราชการอัยการชั้น 1 และอัยการอาวุโสอีกกว่า 100 ท่าน
ดังนั้น ก.อ. จึงมีอำนาจตามกฎหมาย ในการโยกย้าย แต่งตั้ง บรรจุ และการให้พ้นจากตำแหน่ง อาทิ ไล่, ปลด หรือให้ออกในกรณีความผิดชัดแจ้ง
++ลงโทษต้องยึดข้อเท็จจริง
การลงโทษตามมาตรา 84 แห่งก.ม.อัยการ มี 5 สถาน คือ (1) ไล่ออก (2) ปลดออก (3)ให้ออก (4) งดการเลื่อนตำแหน่ง งดเลื่อนขั้นหรือขั้นเงินเดือน (5) ภาคทัณฑ์ และการลงโทษได้ก็ต่อเมื่อได้ผ่านการสอบสวนเบื้องต้นสรุปแล้วว่า มีมูลเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาที่เป็นอาญา หรือผิดวินัยอย่างร้ายแรงอย่างเที่ยงธรรม เป็นต้น
ในกรณี เมาแล้วกร่าง ซึ่งกระแสสังคม...ประสงค์อยากให้ก.อ.ใช้อำนาจตัดสินให้พ้นจากการเป็นข้าราชการอัยการดังกล่าว นอกจากจะต้องผ่านผลการสอบสวนเบื้องต้นแล้ว การใช้ดุลพินิจตัดสินลงโทษเรื่องใด ย่อมจะต้องยึดข้อเท็จจริง (เมากร่างขู่ตำรวจ) มาปรับเข้ากับข้อกฎหมาย เพื่อชั่งนํ้าหนักความหนักเบาแห่งกรณีว่า ถึงขั้นเป็นประเด็น ทำให้องค์กรอัยการต้องเสื่อมเสียเพราะการนี้หรือไม่? เพียงใด? เฉพาะในแง่อัยการผู้ถูกกล่าวหา...ส่วนตำรวจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอาจโดนอาญา ม.157 “เจอคนเมาแล้วไม่จับ”หรือไม่?..เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งต้องจับตาต่อไป
++องค์กรอัยการเสียหาย
เมื่อเกิดกระจัดหนักตามสื่อ เพื่อนคนหนึ่งที่จบเนติบัญฑิตรุ่นเดียวกัน อุตส่าห์ส่งฎีกาย่อ อันมีประเด็นคล้ายเหตุการณ์นี้มาให้เทียบเคียงศึกษาดูว่ามีความผิดตามแนวฎีกาหรือไม่? นั่นคือ... ฎีกาย่อที่ 150/2526 ซึ่งวินิจจัยไว้ว่า...
“ระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยในเรื่องวินัยและการรักษาวินัยกำหนดให้ถือตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งตามพระราชบัญญัติระเบียบราชการพลเรือน ห้ามมิให้ข้าราชการพลเรือนประพฤติชั่ว หากผู้ใดประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งมีโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก การที่โจทก์นำตัวเหี้ยไปผูกไว้ที่ต้นปาล์มหน้าโรงงาน และปิดประกาศมีข้อความหยาบคาย ด่าดูหมิ่นเหยียดหยาม ขับไล่ อ.ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา อันเป็นการไม่เคารพและแสดงถึงความประพฤติในทางเสื่อมทรามของโจทก์ จึงถือได้ว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับฯของจำเลย เป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือและไม่จ่ายค่าชดเชยได้
ประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 68 ให้อำนาจนายจ้างกำหนดแก่ลูกจ้างได้ แต่ในกรณีลูกจ้างกระทำผิดวินัยอันมีโทษถึงปลดออกและนายจ้างจะต้องจ่ายชดเชยหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาว่า การกระทำผิดของลูกจ้างต้องด้วยกรณีใดกรณีหนึ่งตามข้อ 47/(1) ถึง (6) แห่งประกาศฯ ดังกล่าวเป็นสำคัญ”
ดังนี้ จึงมีประเด็นน่าวิเคราะห์ต่อมาว่า นายจ้างถือเป็นองค์กรและพนักงานอัยการเสมือนเป็นลูกจ้าง ตามแนวฎีกานี้ได้หรือไม่? เพราะการใดทำให้เสียหายแก่องค์กร จะเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือไม่?
เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงในฎีกาย่อดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่า มีข้อเท็จจริงแตกต่างกันเนื่องจากผู้กระทำตามฎีกามีเจตนาทำให้นายจ้างเสียหายอย่างเห็นได้ชัด สำหรับกรณี “เมาแล้วกร่าง” รายนี้ ยังมองไม่เห็นว่า มีเจตนาจะทำให้องค์กรเสียหายแต่อย่างใด เพียงแต่มีความประพฤติอันไม่น่าจะมี สำหรับผู้มีตำแหน่งข้าราชการระดับนี้ และแน่นอนย่อมเกิดผลทางอ้อม ทำให้องค์กรอัยการได้รับความเสียหายโดยมิได้ตั้งใจเท่านั้น....ฉะนั้น ผู้กระทำซึ่งเป็นปัจเจก บุคคล จึงต้องรับกรรมชั่วไปเอง ไม่เกี่ยวกับองค์กรแต่อย่างใด เป็นที่ยอมรับกันว่า สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรใหญ่มีพนักงานอัยการถึงกว่า 3,000 คน ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนเข้ามา ซึ่งเป็นส่วนน้อย แล้วจะเหมาด่าทั้งองค์กรได้ไง?...ว่าไหม?
ในที่สุด คงต้องรอดูผลการสอบสวนเบื้องต้นก่อนว่าเป็นเช่นไร? แต่...งานนี้ ถ้าได้คนอย่างท่าน มนัส สุขสวัสดิ์ หรือ วินัย ดำรงค์มงคลกุล เป็นประธานสอบ คงดูไม่จืด!!.(ฮา)
อย่างไรก็ตาม หากผลสอบออกมา “น่อมแน้ม” ไม่เข้าท่า เชื่อว่าคงจะมีการ “ลงเจาะลึก” จากคณะ ก.อ.เป็นแน่?...
เหตุการณ์นี้นับเป็นอุทาหรณ์อันมีคุณค่า สำหรับเตือนสติ พนักงานอัยการรุ่นน้องๆ จงได้ประพฤติปฏิบัติตนยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และอย่าได้เห็นแก่อามิส ด้วยการละทิ้งศักดิ์ศรีแห่งการเป็นอัยการผู้ทรงเกียรติเป็นอันขาด
ดังนั้น จงมาช่วยกันเสริมสร้างสถาบันอัยการ ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน ตามแนวทาง “พัฒนาอย่างมีหลักการ” ของว่าที่อัยการสูงสุดคนใหม่ เข็มชัย ชุติวงศ์ กันเถอะ!...มิฉะนั้น...ก็ตัวใครตัวมัน นะ!!
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,279 วันที่ 16 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560