2 ส.ค.พิพากษาคดีสลายม็อบ ชี้ชะตา‘สมชาย-บิ๊กจิ๋ว-2บิ๊กตร.’

03 ก.ค. 2560 | 07:36 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ค. 2560 | 14:36 น.
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้กำหนดให้วันที่ 2 สิงหาคมนี้ เวลา 09.30 น. เป็นวันพิพากษาคดีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจ นครบาล เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 จากกรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา- ธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551

โดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสมชาย ได้แถลงปิดต่อศาลด้วยวาจา ว่า ช่วงเวลาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคมที่มีการประชุม ครม.ไม่ได้พูดคุยเรื่องการสลายการชุมนุม เพียงแค่หารือเรื่อง การย้ายที่ประชุมเท่านั้นและได้เข้าหารือกับ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ โดยมี พล.อ. ชวลิต อยู่ร่วม ซึ่งนายสมชาย ระบุว่า จากการหารือไม่ได้สั่งการอะไรเพิ่มเติม เพราะการควบคุมฝูงชน เป็นหน้าที่ของตำรวจที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย และในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตนเองเดินทางไปแถลงนโยบายที่รัฐสภา แต่ได้รับแจ้งจากตำรวจ ให้รีบออกจากพื้นที่เพราะเกรงว่าไม่ปลอดภัย ซึ่งตำรวจไม่สามารถเจรจาให้ผู้ชุมนุมเปิดทางได้ ตำรวจชี้แจงว่า อาจมีความจำเป็นต้องใช้แก๊สนํ้าตาในการเปิดทาง ซึ่งนายสมชาย ได้ทำการสั่งห้าม และใช้วิธีปีนกำแพงหลบออกจากอาคารรัฐสภาไปทางพระที่นั่งวิมานเมฆ พระบรมมหาราชวัง และได้กล้าขอโทษกรมวังชั้นผู้ใหญ่ที่ล่วงลํ้าพื้นที่ พร้อมขออนุญาตใช้เฮลิคอปเตอร์เพื่อหลบออกจากพื้นที่

ดังนั้นถ้าผู้ชุมนุมอ้างว่าจะมาขัดขวางนายสมชาย ไม่ให้แถลงนโยบาย ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะได้เดินทางออกมาแล้ว ส่วนเหตุการณ์ในช่วงเย็นวันที่ 7 ตุลาคม ที่มีการใช้แก๊สนํ้าตา ตนเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และไม่ได้รับรายงาน เพราะเป็นเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ตำรวจมีผู้บัญชาการเหตุการณ์ และมีอำนาจตัดสินใจในการดูแลความสงบเรียบร้อยตามกฎหมาย

ทั้งนี้ พฤติการณ์ที่กล่าวมาสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลปกครอง ที่ระบุว่า ผู้ที่จะกระทำผิดตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจในการบังคับใช้ กฎหมาย ฉะนั้นการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงมิชอบ ยืนยันว่า ไม่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในความรับผิดชอบการสลายการชุมนุม เป็นหน้าที่ของตำรวจที่มีอำนาจตัดสินใจในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทั้งยืนยันว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติและไม่เคยคิดทำร้ายประชาชน

ภายหลังการเบิกความพยานฝ่ายจำเลย และการแถลงปิดคดีเสร็จสิ้น ศาลได้นัดให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ส่งเอกสารแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรเป็น เวลา 20 วัน ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหาคม 2560 เวลา 09.30 น. พร้อมกำชับให้ พล.อ. ชวลิต เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย หลังจากที่ลาป่วยไม่ได้เดินทางมา

++ย้อนเหตุสลายม็อบหน้าสภา
สำหรับคดีสลายม็อบพันธมิตรฯ มีเหตุมาจากการที่รัฐบาลนายสมชาย หลังฟอร์มครม.เสร็จ นัดแถลงนโยบายต่อสภาวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ด้านกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ต่อต้านรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ปักหลักยึดทำเนียบอยู่ ได้เคลื่อนพลล้อมรัฐสภาในคืนนั้นเพื่อปิดทางเข้ารัฐสภา ขณะที่รัฐบาลสมชายสั่งตำรวจเปิดทางเข้าสภา

ตำรวจตั้งแผงกดดันและยิงแก๊สนํ้าตาใส่ผู้ชุมนุมตอบโต้ เกิดการปะทะเป็นเหตุรุนแรงกันตั้งแต่เช้าตรู่ ยืดเยื้อเป็นระลอกจนถึงคํ่า มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก บางรายสาหัสแขนขาขาด จนมีปฏิกิริยาลุกลามไปทั่ว
ผู้นำเหล่าทัพนัดหมายไปออกรายการโทรทัศน์ เรียกร้องรัฐบาลลาออกแสดงความรับผิดชอบ ถูกเรียกว่า “การปฏิวัติทางจอทีวี”

[caption id="attachment_172893" align="aligncenter" width="311"] 2ส.ค.พิพากษาคดีสลายม็อบ ชี้ชะตา‘สมชาย-บิ๊กจิ๋ว-2บิ๊กตร.’ 2ส.ค.พิพากษาคดีสลายม็อบ ชี้ชะตา‘สมชาย-บิ๊กจิ๋ว-2บิ๊กตร.’[/caption]

ด้านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งอนุฯไต่สวนข้อเท็จจริง การสั่งการสลายการชุมนุม จนต่อมาเกือบปีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2552 คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนักการเมืองและตำรวจ 4 ราย ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กระทำผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ มีความผิดทาง อาญาและวินัยร้ายแรงประกอบด้วย

1.นายสมชาย ที่เรียกประชุมครม.พิเศษและมีมติให้ตำรวจปฏิบัติการเปิดทาง 2.พล.อ.ชวลิต ผู้รับมอบหมายให้เป็นผู้สั่งการ 3.พล.ต.อ.พัชรวาท ผู้รับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ และ 4.พล.ต.ท. สุชาติ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ที่ปฎิบัติการจนเกิดเหตุรุนแรงถึงขั้นผู้ชุมนุมบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ยับยั้งไม่ให้เหตุลุกลาม

ผลจากการชี้มูลความผิดของป.ป.ช. ทางหนึ่งส่งเรื่องให้วุฒิสภาเพื่อดำเนินการลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่ง วุฒิสภาประชุมลงมติเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 ด้วยเสียงข้างมาก 76-49 ไม่ถอดถอนนายสมชาย ออกจากตำแหน่ง

ส่วนพล.ต.อ.พัชรวาทนั้น ต่อมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ มีคำสั่งย้ายมาปฏิบัติราชการประจำสำนักนายกฯ และต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาท ยื่นลาออกจากตำแหน่ง กระทั่งเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มีคำสั่งคืนตำแหน่งผบ.ตร.ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางให้ยกเลิกคำสั่งลงโทษ แต่ยังคงเป็นจำเลยในคดีที่ป.ป.ช.ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ

ขณะที่สำนวนสอบสวนนั้นส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อสั่งคดี แต่ทางอัยการชี้ว่ามีข้อไม่สมบูรณ์ จึงให้ตั้งคณะทำงานร่วม 2 หน่วยงาน คดีนี้จึงยืดเยื้อหลายปี และท้ายสุดก็ไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้

ในที่สุดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 ป.ป.ช. จึงตัดสินใจยื่นฟ้องนายสมชาย และพวก รวม 4 คนเอง เป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเก็บ 471 ราย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,275 วันที่ 2 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560